คลังเก็บป้ายกำกับ: การเขียนวิจัยบทที่ 2

เคล็ดลับการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทที่ 2 ของงานวิจัยเป็นส่วนสำคัญในการอธิบายบริบทและที่มาของงานวิจัย โดยกล่าวถึงทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจกรอบแนวคิดและขอบเขตของการวิจัย รวมถึงความเชื่อมโยงกับงานวิจัยในอดีต ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ดีจะช่วยให้งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือและสามารถตอบคำถามวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เคล็ดลับการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ให้ดีนั้น สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

1. ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด

การศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับงานวิจัยทุกประเภท เนื่องจากจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจแนวคิดและประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของตนเอง โดยอาจเริ่มจากการศึกษาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น บทความวิจัย หนังสือตำรา และวารสารวิชาการ เป็นต้น หรืออาจศึกษางานวิจัยออนไลน์ผ่านฐานข้อมูลต่างๆ เช่น Google Scholar และ Scopus

ในการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดนั้น ผู้วิจัยควรให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ความถูกต้องของข้อมูล ผู้วิจัยควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยพิจารณาจากแหล่งที่มาของข้อมูล วิธีการรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล
  • ความทันสมัยของข้อมูล ผู้วิจัยควรศึกษาข้อมูลล่าสุด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความทันสมัยและสามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้อย่างถูกต้อง
  • ความเกี่ยวข้องของข้อมูล ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องนั้นตรงประเด็นกับงานวิจัยของตนเองหรือไม่ โดยพิจารณาจากตัวแปรที่ศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัย และขอบเขตของการวิจัย

นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรใช้ทักษะการอ่านเชิงวิพากษ์ในการตีความข้อมูล โดยพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล อคติของผู้เขียน และข้อจำกัดของการศึกษา

ตัวอย่างวิธีการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดมีดังนี้

  • ระบุกรอบแนวคิด ผู้วิจัยควรระบุกรอบแนวคิดของงานวิจัยของตนเองก่อน โดยกรอบแนวคิดจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถระบุทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างตรงประเด็น
  • สร้างแผนการศึกษา ผู้วิจัยควรสร้างแผนการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางในการค้นหาและศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแผนการศึกษาควรระบุหัวข้อหลัก ประเด็นย่อย และแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  • ค้นหาข้อมูล ผู้วิจัยควรค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ โดยอาจใช้เครื่องมือค้นหาหรือฐานข้อมูลออนไลน์ต่างๆ
  • อ่านและวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยควรอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด โดยพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น
  • สรุปข้อมูล ผู้วิจัยควรสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกัน

การศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเขียนบทที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถอธิบายบริบทและที่มาของงานวิจัยได้อย่างละเอียดและน่าเชื่อถือ

2. วิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นกระบวนการสำคัญในการวิจัย ช่วยให้นักวิจัยเข้าใจปัญหาการวิจัยและกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น สามารถนำไปสู่การกำหนดสมมติฐานการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การวิเคราะห์ทฤษฎี หมายถึง กระบวนการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจแนวคิด หลักการ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีสามารถช่วยนักวิจัยในการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ระบุตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และสร้างสมมติฐานการวิจัย

การสังเคราะห์งานวิจัย หมายถึง กระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อสรุปหรือแนวโน้มร่วมกัน ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยนักวิจัยในการระบุช่องว่างทางความรู้ แนวทางการวิจัยในอนาคต และข้อจำกัดของงานวิจัย

ขั้นตอนการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้

  1. กำหนดขอบเขตการวิจัย ระบุประเด็นปัญหาการวิจัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
  2. สืบค้นข้อมูล รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลออนไลน์ วารสารวิชาการ หนังสือ และบทความ
  3. วิเคราะห์ข้อมูล ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจแนวคิด หลักการ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
  4. สังเคราะห์ข้อมูล สรุปแนวคิดและหลักการที่สำคัญจากทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  5. เขียนรายงาน นำเสนอผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

สมมติว่านักวิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้สื่อโซเชียลมีเดียและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่น นักวิจัยอาจเริ่มต้นด้วยการทบทวนทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น ทฤษฎีการเสริมแรง ทฤษฎีการคาดหวัง และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม จากการศึกษาทฤษฎีเหล่านี้ นักวิจัยอาจสรุปได้ว่าการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นได้หลายวิธี เช่น

  • การใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจกระตุ้นการบริโภคอาหาร โดยวัยรุ่นอาจเห็นภาพหรือข้อความที่เกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่ไม่ healthy บ่อยครั้ง จนทำให้พวกเขาอยากบริโภคอาหารเหล่านั้นตาม
  • การใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจทำให้วัยรุ่นรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคอาหารเพื่อปลอบใจตัวเอง
  • การใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจทำให้วัยรุ่นมีความรู้สึกกดดันที่ต้องดูดี ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก

นอกจากนี้ นักวิจัยอาจสืบค้นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปหรือแนวโน้มร่วมกัน จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยอาจพบข้อมูลว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก มักจะมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ healthy มากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียน้อย

จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยอาจกำหนดสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้

  • วัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก จะมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ healthy มากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียน้อย

สมมติฐานนี้สามารถนำไปสู่การออกแบบการวิจัยเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองต่อไป

ประโยชน์ของการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้

  • ช่วยนักวิจัยเข้าใจปัญหาการวิจัยและกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  • สามารถนำไปสู่การกำหนดสมมติฐานการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ช่วยนักวิจัยระบุช่องว่างทางความรู้ แนวทางการวิจัยในอนาคต และข้อจำกัดของงานวิจัย

การวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นกระบวนการที่สำคัญในการวิจัย ช่วยให้นักวิจัยสามารถดำเนินงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัย

3. นำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกัน

ในการนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกันนั้น นักวิจัยควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดขอบเขตการวิจัย ระบุประเด็นปัญหาการวิจัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลออนไลน์ วารสารวิชาการ หนังสือ และบทความ

เมื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้แล้ว นักวิจัยควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจแนวคิด หลักการ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงสังเคราะห์ข้อมูล โดยสรุปแนวคิดและหลักการที่สำคัญจากทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ในการนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยควรจัดระเบียบข้อมูลอย่างเป็นลำดับ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว ควรใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น ไม่ควรยืดเยื้อหรือวกวนจนทำให้ผู้อ่านสับสน นอกจากนี้ ควรเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างมีเหตุผล เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้อมูลเหล่านั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ตัวอย่างการนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกัน

สมมติว่านักวิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้สื่อโซเชียลมีเดียและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่น นักวิจัยอาจเริ่มต้นด้วยการนำเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวข้องดังนี้

  • ทฤษฎีการเสริมแรง ระบุว่าพฤติกรรมใดก็ตามที่ได้รับรางวัลหรือผลตอบแทนที่ตามมาด้วยจะมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำอีก ดังนั้น วัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก และเห็นภาพหรือข้อความที่เกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่ไม่ healthy บ่อยครั้ง อาจได้รับแรงจูงใจให้บริโภคอาหารเหล่านั้นตาม
  • ทฤษฎีการคาดหวัง ระบุว่าบุคคลจะแสดงพฤติกรรมใดๆ หากเชื่อว่าพฤติกรรมนั้นจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนั้น วัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก และรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา อาจบริโภคอาหารเพื่อปลอบใจตัวเอง หรือบริโภคอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก
  • ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ระบุว่าบุคคลเรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ จากผู้อื่น หากวัยรุ่นใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก และเห็นภาพหรือข้อความที่เกี่ยวกับบุคคลอื่นที่บริโภคอาหารที่ไม่ healthy บ่อยครั้ง อาจเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้น

จากนั้น นักวิจัยอาจนำเสนอผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้

  • การศึกษาของ Zhang et al. (2022) พบว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก มีแนวโน้มที่จะบริโภคอาหารที่ไม่ healthy มากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียน้อย
  • การศึกษาของ Lee et al. (2021) พบว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก มีแนวโน้มที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคอาหารเพื่อปลอบใจตัวเอง
  • การศึกษาของ Park et al. (2020) พบว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก มีแนวโน้มที่จะรู้สึกกดดันที่ต้องดูดี ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก

จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยอาจสรุปได้ว่าการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นได้หลายวิธี โดยวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก อาจมีแนวโน้มที่จะบริโภคอาหารที่ไม่ healthy มากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียน้อย สาเหตุอาจมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เห็นในสื่อโซเชียลมีเดีย ความรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา และความรู้สึกกดดันที่ต้องดูดี

การนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกัน จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นปัญหาการวิจัยและกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น สามารถนำไปสู่การกำหนดสมมติฐานการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่าง

สมมติว่า ผู้วิจัยกำลังศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่น ผู้วิจัยอาจระบุทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เช่น ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ทฤษฎีแรงจูงใจ (Motivation Theory) และทฤษฎีความเครียด (Stress Theory) จากนั้น ผู้วิจัยอาจวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีเหล่านั้น เพื่อหาความเชื่อมโยงว่าการใช้สมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นอย่างไร โดยอาจสรุปได้ว่าการใช้สมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นได้ทั้งทางบวกและทางลบ โดยทางบวกนั้น การใช้สมาร์ทโฟนอาจช่วยส่งเสริมทักษะทางสังคม ทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการปรับตัวของวัยรุ่น ในขณะที่ทางลบนั้น การใช้สมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อความเครียด ความวิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ของวัยรุ่น

นอกจากนี้ ผู้วิจัยอาจนำเสนอทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยแบ่งหัวข้อย่อยตามประเด็นต่างๆ เช่น ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อทักษะทางสังคม ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อทักษะการแก้ปัญหา ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อทักษะการปรับตัว ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อความเครียด ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อความวิตกกังวล และผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ของวัยรุ่น โดยอาจเชื่อมโยงกับงานวิจัยของตนเอง เช่น ผลการวิจัยพบว่า การใช้สมาร์ทโฟนส่งผลต่อความเครียดของวัยรุ่น โดยพบว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สมาร์ทโฟนนานกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มที่จะมีความเครียดมากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สมาร์ทโฟนน้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน

เคล็ดลับการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ข้างต้น จะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถอธิบายบริบทและที่มาของงานวิจัยได้อย่างละเอียดและน่าเชื่อถือ

แนวคิดในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การวิจัยเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบและระเบียบ โดยอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นหลัก ในการเขียนงานวิจัยนั้น นอกเหนือจากการนำเสนอผลการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยยังจำเป็นต้องนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึง แนวคิดในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของปัญหาการวิจัยและที่มาของสมมติฐานการวิจัย

ทฤษฎี หมายถึง แนวคิดหรือกรอบความคิดที่อธิบายปรากฏการณ์หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีที่ดีควรมีความสอดคล้องกัน มีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุน และมีความสามารถในการอธิบายปรากฏการณ์ได้อย่างครอบคลุม

การวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถึง งานวิจัยที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัยที่กำลังศึกษา ผู้วิจัยควรศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกและข้อค้นพบใหม่ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวิจัยของตนเองได้

แนวคิดในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้

1. ความสำคัญของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญต่อการศึกษาวิจัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพื้นฐานในการให้กรอบแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการวิจัย ช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น นำไปสู่การกำหนดสมมติฐานและคำถามวิจัยที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความเป็นจริง ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถพัฒนาเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ และช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตีความผลการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ความสำคัญของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถสรุปได้ดังนี้

  • ช่วยให้เข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น

ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น โดยช่วยให้ผู้วิจัยสามารถระบุสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของปัญหาได้ รวมถึงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถกำหนดสมมติฐานและคำถามวิจัยที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความเป็นจริงได้

  • ช่วยให้พัฒนาเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสม

ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถพัฒนาเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ โดยช่วยให้ผู้วิจัยสามารถระบุเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือ

  • ช่วยให้ตีความผลการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตีความผลการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเปรียบเทียบผลการวิจัยของตนเองกับผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถอธิบายและอธิบายผลการวิจัยได้อย่างมีเหตุผลและสอดคล้องกับความเป็นจริง

จากประโยชน์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญต่อการศึกษาวิจัยเป็นอย่างมาก ผู้วิจัยควรให้ความสำคัญกับการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพื่อให้การศึกษาวิจัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัย

2. การค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นการวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น นำไปสู่การกำหนดสมมติฐานและคำถามวิจัยที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความเป็นจริง ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถพัฒนาเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ และช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตีความผลการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

การค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

2.1 การค้นหาจากห้องสมุด เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้วิจัยสามารถค้นหาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ ห้องสมุดเป็นแหล่งรวบรวมความรู้และข้อมูลต่างๆ มากมาย รวมถึงทรัพยากรสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย เช่น ฐานข้อมูลวารสารวิชาการ ฐานข้อมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ในการค้นหาจากห้องสมุด ผู้วิจัยสามารถดำเนินการได้ดังนี้

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับห้องสมุด ก่อนเริ่มค้นหา ผู้วิจัยควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับห้องสมุด เช่น ประเภทของทรัพยากรสารสนเทศที่มีให้บริการ วิธีการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถหาได้จากเว็บไซต์ของห้องสมุด หรือสอบถามจากเจ้าหน้าที่ห้องสมุด
  • กำหนดคำค้น เป็นขั้นตอนสำคัญในการค้นหา ผู้วิจัยควรกำหนดคำค้นให้ครอบคลุมเนื้อหาของประเด็นปัญหาที่ศึกษา โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของคำค้นกับประเด็นปัญหา ความทันสมัยของคำค้น ความน่าเชื่อถือของคำค้น
  • ใช้เครื่องมือในการสืบค้น ห้องสมุดจะมีเครื่องมือในการสืบค้นต่างๆ มากมาย เช่น ระบบสืบค้นอัตโนมัติ (OPAC) ฐานข้อมูลออนไลน์ เป็นต้น ผู้วิจัยควรเลือกใช้เครื่องมือในการสืบค้นที่เหมาะสมกับประเภทของทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการค้นหา
  • ประเมินผลการค้นหา หลังจากได้รับผลการค้นหาแล้ว ผู้วิจัยควรประเมินผลการค้นหาว่ามีความเกี่ยวข้องและเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของผลการค้นหากับประเด็นปัญหา ความทันสมัยของผลการค้นหา ความน่าเชื่อถือของผลการค้นหา

2.2 การค้นหาจากอินเทอร์เน็ต เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้วิจัยสามารถค้นหาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลต่างๆ มากมาย รวมถึงทรัพยากรสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานวิจัย เว็บไซต์ของสถาบันการศึกษา เว็บไซต์ของวารสารวิชาการ เป็นต้น

ในการค้นหาจากอินเทอร์เน็ต ผู้วิจัยสามารถดำเนินการได้ดังนี้

  • กำหนดคำค้น เป็นขั้นตอนสำคัญในการค้นหา ผู้วิจัยควรกำหนดคำค้นให้ครอบคลุมเนื้อหาของประเด็นปัญหาที่ศึกษา โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของคำค้นกับประเด็นปัญหา ความทันสมัยของคำค้น ความน่าเชื่อถือของคำค้น
  • ใช้เครื่องมือในการสืบค้น อินเทอร์เน็ตจะมีเครื่องมือในการสืบค้นต่างๆ มากมาย เช่น เครื่องมือค้นหาทั่วไป (Google, Bing, Yahoo) เครื่องมือค้นหาเฉพาะเจาะจง (Google Scholar, ACM Digital Library, IEEE Xplore) เป็นต้น ผู้วิจัยควรเลือกใช้เครื่องมือในการสืบค้นที่เหมาะสมกับประเภทของทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการค้นหา
  • ประเมินผลการค้นหา หลังจากได้รับผลการค้นหาแล้ว ผู้วิจัยควรประเมินผลการค้นหาว่ามีความเกี่ยวข้องและเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของผลการค้นหากับประเด็นปัญหา ความทันสมัยของผลการค้นหา ความน่าเชื่อถือของผลการค้นหา

2.3 การสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ การสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญเป็นวิธีหนึ่งที่ผู้วิจัยสามารถค้นหาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ ผู้เชี่ยวชาญคือบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ศึกษา ผู้วิจัยสามารถสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำในการค้นหาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้

ในการสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยควรเตรียมคำถามที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ ผู้วิจัยควรระบุประเด็นปัญหาที่ศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัย และข้อมูลที่ต้องการทราบอย่างชัดเจน

ตัวอย่างคำถามที่อาจใช้สอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ

  • แนวคิดหลักของทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ศึกษาคืออะไร
  • ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ศึกษามีประเด็นใดบ้าง
  • มีงานวิจัยใดบ้างที่ศึกษาประเด็นปัญหาที่คล้ายคลึงกัน

ข้อดีของการสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ

  • ได้รับข้อมูลที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ ผู้เชี่ยวชาญมีความรู้และประสบการณ์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ทำให้สามารถให้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้
  • ได้รับข้อมูลเชิงลึกที่อาจไม่พบจากแหล่งอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญอาจให้ข้อมูลเชิงลึกที่อาจไม่พบจากแหล่งอื่นๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางการวิจัยในอนาคต ข้อมูลเกี่ยวกับข้อจำกัดของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

ข้อเสียของการสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ

  • อาจต้องใช้เวลาในการหาผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับสาขาที่เกี่ยวข้อง และมีความเชี่ยวชาญในประเด็นปัญหาที่ศึกษา
  • อาจต้องเสียค่าใช้จ่าย ผู้เชี่ยวชาญอาจเรียกเก็บค่าตอบแทนสำหรับการให้คำปรึกษา
  • อาจไม่ได้รับการตอบคำถามที่ตรงใจ ผู้เชี่ยวชาญอาจไม่สามารถตอบคำถามที่เฉพาะเจาะจงได้ เนื่องจากมีขอบเขตความรู้ที่จำกัด

ในการค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ความเกี่ยวข้องของทฤษฎีและงานวิจัยกับประเด็นปัญหา ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าทฤษฎีและงานวิจัยที่พบมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับประเด็นปัญหาที่ศึกษา โดยพิจารณาจากตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหา
  • ความทันสมัยของทฤษฎีและงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าทฤษฎีและงานวิจัยที่พบมีความทันสมัยเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจากวันที่ตีพิมพ์
  • ความน่าเชื่อถือของทฤษฎีและงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าทฤษฎีและงานวิจัยที่พบมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยพิจารณาจากแหล่งที่มาของทฤษฎีและงานวิจัย

ในการเขียนบทคัดย่อของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรระบุข้อมูลสำคัญต่างๆ ดังนี้

  • ชื่อของทฤษฎีหรืองานวิจัย
  • ชื่อผู้วิจัย
  • ปีที่ตีพิมพ์
  • วารสารหรือหนังสือที่ตีพิมพ์
  • วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  • วิธีการศึกษา
  • ผลการวิจัย

การค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น นำไปสู่การศึกษาวิจัยที่มีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัย

3. การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนสำคัญของการเขียนรายงานการวิจัย เป็นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ศึกษา ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น รวมถึงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา

การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องควรประกอบด้วยส่วนสำคัญ ดังนี้

  • บทนำ ควรกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง อธิบายความสำคัญของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และให้ภาพรวมของเนื้อหาที่นำเสนอ
  • ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ควรนำเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและครอบคลุม โดยอธิบายแนวคิดหลักของทฤษฎี ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  • งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและครอบคลุม โดยอธิบายวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการศึกษา ผลการวิจัย และข้อจำกัดของการวิจัย
  • การอภิปราย ควรอภิปรายและวิเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ศึกษา อธิบายความสอดคล้องกับผลการวิจัยของตนเอง และข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาวิจัยในอนาคต

ในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ความชัดเจน การนำเสนอข้อมูลควรมีความชัดเจน เข้าใจง่าย และกระชับ
  • ความถูกต้อง ข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอควรถูกต้องและเชื่อถือได้
  • ความเชื่อมโยง ควรเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
  • ความสร้างสรรค์ การนำเสนอข้อมูลควรมีความสร้างสรรค์และน่าสนใจ เพื่อให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมในการอ่าน

การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น รวมถึงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจผลการวิจัยของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ตัวอย่าง การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

สมมติว่าผู้วิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านครอบครัวกับพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น ผู้วิจัยอาจเริ่มต้นด้วยการทบทวนทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เช่น ทฤษฎีพันธุกรรม ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ทฤษฎีแรงจูงใจ ทฤษฎีการรับรู้ความเสี่ยง เป็นต้น จากนั้นผู้วิจัยอาจศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น งานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านครอบครัวกับพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่นในต่างประเทศหรือในประเทศไทย งานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านครอบครัวกับพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่นในบริบทที่เฉพาะเจาะจง เช่น วัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด วัยรุ่นที่มีปัญหาครอบครัว เป็นต้น

จากการศึกษาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจสรุปได้ว่าปัจจัยด้านครอบครัวมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น โดยปัจจัยด้านครอบครัวที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก ภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว พฤติกรรมของพ่อแม่ เป็นต้น

แนวคิดในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจบริบทของปัญหาการวิจัยและที่มาของสมมติฐานการวิจัยได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการวิจัยและการวิเคราะห์ผลการวิจัยอย่างถูกต้อง

เขียนบทที่ 2 ภายใน 60 นาที ด้วยเคล็ดลับ 6 ข้อ

การเขียนบทที่ 2 นั้นอาจใช้เวลานาน เนื่องจากจำเป็นต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจทำให้นักวิจัยเสียเวลาไปกับการค้นคว้าและเขียนบทที่ 2 มากเกินไป

บทความนี้จะแนะนำเคล็ดลับ 6 ข้อ ในการเขียนบทที่ 2 ภายใน 60 นาที ดังนี้

1. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเขียน : ก่อนเริ่มเขียนบทที่ 2 นักวิจัยควรเตรียมตัวให้พร้อม โดยควรรวบรวมข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน โดยอาจใช้เครื่องมือช่วยการค้นคว้า เช่น Google Scholar หรือฐานข้อมูลออนไลน์ต่างๆ

2. กำหนดขอบเขตของบทที่ 2 : นักวิจัยควรกำหนดขอบเขตของบทที่ 2 ว่าต้องการจะกล่าวถึงประเด็นใดบ้าง เพื่อให้การเขียนบทที่ 2 เป็นไปอย่างกระชับ ไม่ยืดเยื้อ

3. เขียนโครงร่างของบทที่ 2 : ช่วยให้นักวิจัยสามารถจัดระเบียบความคิดและเนื้อหาของบทที่ 2 ได้อย่างเป็นระบบ

4. เขียนบทที่ 2 อย่างรวดเร็ว : โดยเน้นไปที่ประเด็นสำคัญและเนื้อหาที่จำเป็นเท่านั้น

5. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล : หลังจากเขียนบทที่ 2 เสร็จแล้ว นักวิจัยควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและอ้างอิงให้ครบถ้วน

6. เรียบเรียงบทที่ 2 อีกครั้ง : เพื่อให้บทที่ 2 กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย

ตัวอย่างการเขียนบทที่ 2 ภายใน 60 นาที โดยนักวิจัยได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเขียน : รวบรวมข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยค้นหาจาก Google Scholar และฐานข้อมูลออนไลน์ต่างๆ

ขั้นตอนที่ 2: กำหนดขอบเขตของบทที่ 2 : กล่าวถึงทฤษฎีความเครียด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ขั้นตอนที่ 3: เขียนโครงร่างของบทที่ 2 :

  • บทนำ
  • ทฤษฎีความเครียด
  • งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  • สรุป

ขั้นตอนที่ 4: เขียนบทที่ 2 อย่างรวดเร็ว : ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการเขียนบทที่ 2 โดยเน้นไปที่ประเด็นสำคัญและเนื้อหาที่จำเป็นเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล : ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และอ้างอิงให้ครบถ้วน

ขั้นตอนที่ 6: เรียบเรียงบทที่ 2 อีกครั้ง : ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการเรียบเรียงบทที่ 2 เพื่อให้บทที่ 2 กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย

บทสรุป

เคล็ดลับ 6 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้นักวิจัยสามารถเขียนบทที่ 2 ภายใน 60 นาทีได้ โดยนักวิจัยควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเริ่มเขียน กำหนดขอบเขตของบทที่ 2 เขียนโครงร่างของบทที่ 2 อย่างรวดเร็ว ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และเรียบเรียงบทที่ 2 อีกครั้ง

ข้อดี-ข้อเสีย การเขียนบทที่ 2: ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ในขอบเขตของการเขียนเชิงวิชาการ การสร้างบทที่ 2 หรือที่เรียกว่าบท “ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง” ถือเป็นก้าวสำคัญในกระบวนการวิจัย เป็นการวางรากฐานสำหรับการศึกษาทั้งหมด โดยมีกรอบทางทฤษฎีอย่างชัดเจน และการทบทวนวรรณกรรมที่มีอยู่อย่างกว้างขวาง

อย่างไรก็ตาม การเขียนบทที่ 2 มาพร้อมกับข้อดีและข้อเสียในตัวเอง บทความนี้เจาะลึกข้อดีและข้อเสียในการเขียนบทที่สำคัญนี้

ข้อดีของการเขียนบทที่ 2

1. ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย : จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย โดยอธิบายถึงทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ว่าการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์อย่างไร และทำไมจึงมีความสำคัญ

2. ช่วยให้ผู้อ่านคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร : จะช่วยให้ผู้อ่านคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร โดยอธิบายถึงทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย

3. ช่วยให้นักวิจัยระบุช่องว่างทางความรู้ : จะช่วยให้นักวิจัยระบุช่องว่างทางความรู้ โดยอธิบายถึงข้อจำกัดของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

4. ช่วยให้นักวิจัยสร้างสมมติฐานการวิจัย : จะช่วยให้นักวิจัยสร้างสมมติฐานการวิจัย โดยอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถตั้งสมมติฐานการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

ข้อเสียของการเขียนบทที่ 2

1. ใช้เวลาในการเขียนมาก : การเขียนบทที่ 2 จำเป็นต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจใช้เวลานาน

2. อาจทำให้รายงานการวิจัยมีความยาวมากเกินไป : หากเขียนมากเกินไป อาจทำให้รายงานการวิจัยมีความยาวมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย

3. อาจทำให้ผู้อ่านสับสน : หากเขียนไม่ชัดเจน อาจทำให้ผู้อ่านสับสนและเข้าใจยาก

สรุป

การเขียนบทที่ 2 มีประโยชน์ต่อทั้งผู้อ่านและนักวิจัย อย่างไรก็ตาม นักวิจัยควรเขียนบทที่ 2 ให้กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย เพื่อไม่ให้รายงานการวิจัยมีความยาวมากเกินไป และไม่ให้ผู้อ่านเกิดความสับสน

7 ขั้นตอน เขียนบทที่ 2: ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทที่ 2: ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นบทสำคัญในรายงานการวิจัย เพราะจะช่วยอธิบายถึงพื้นฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย และสามารถคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร

การเขียนบทที่ 2 นั้นสามารถทำได้ใน 7 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: กำหนดวัตถุประสงค์ของบทที่ 2

วัตถุประสงค์ของบทที่ 2 คือ เพื่ออธิบายถึงพื้นฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย และสามารถคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร

ขั้นตอนที่ 2: รวบรวมข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

นักวิจัยควรรวบรวมข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดและรอบคอบ โดยควรพิจารณาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านเนื้อหาและวิธีการวิจัย

ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์ข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

นักวิจัยควรวิเคราะห์ข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยควรพิจารณาจากประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

  • เนื้อหาของทฤษฎีและงานวิจัย
  • ความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัย
  • ช่องว่างทางความรู้
  • สมมติฐานการวิจัย

ขั้นตอนที่ 4: ระบุกรอบแนวคิดการวิจัย

กรอบแนวคิดการวิจัยเป็นกรอบความคิดที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย โดยกรอบแนวคิดการวิจัยที่ดีจะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และวิธีการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

ขั้นตอนที่ 5: สรุปประเด็นสำคัญ

ในตอนท้ายของบทที่ 2 นักวิจัยควรสรุปประเด็นสำคัญทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงเนื้อหาของบทที่ 2 ได้อย่างครบถ้วน

ขั้นตอนที่ 6: เขียนบทที่ 2

นักวิจัยควรเขียนบทที่ 2 ให้กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย โดยควรใช้ภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสม และตรงประเด็น

ขั้นตอนที่ 7: อ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและถูกต้อง

นักวิจัยควรอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและถูกต้อง โดยควรอ้างอิงตามรูปแบบที่สำนักพิมพ์กำหนด

วิธีการวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องในบทที่ 2

บทที่ 2 ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นบทสำคัญในรายงานการวิจัย เพราะจะช่วยอธิบายถึงพื้นฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย และสามารถคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร

ในการเขียนบทที่ 2 นักวิจัยควรพิจารณาจากประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

1. ระบุกรอบแนวคิดการวิจัย

กรอบแนวคิดการวิจัยเป็นกรอบความคิดที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย โดยกรอบแนวคิดการวิจัยที่ดีจะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และวิธีการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

2. ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง

นักวิจัยควรทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดและรอบคอบ โดยควรพิจารณาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านเนื้อหาและวิธีการวิจัย ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถระบุช่องว่างทางความรู้และสร้างสมมติฐานการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

นักวิจัยควรอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยควรอธิบายว่าทฤษฎีใดเป็นฐานความคิดในการวิจัย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประเด็นใดที่สอดคล้องกับการวิจัย

4. สรุปประเด็นสำคัญ

ในตอนท้ายของบทที่ 2 นักวิจัยควรสรุปประเด็นสำคัญทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงเนื้อหาของบทที่ 2 ได้อย่างครบถ้วน

วิธีการวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ในการเขียนบทที่ 2 นักวิจัยควรวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยควรพิจารณาจากประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

1. เนื้อหาของทฤษฎีและงานวิจัย

นักวิจัยควรเข้าใจเนื้อหาของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ โดยควรศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น หนังสือ บทความวิชาการ และเว็บไซต์ต่างๆ

2. ความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัย

นักวิจัยควรอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยควรอธิบายว่าทฤษฎีใดเป็นฐานความคิดในการวิจัย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประเด็นใดที่สอดคล้องกับการวิจัย

3. ช่องว่างทางความรู้

นักวิจัยควรระบุช่องว่างทางความรู้จากการศึกษาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยช่องว่างทางความรู้อาจเกิดจากข้อจำกัดของทฤษฎีหรืองานวิจัยที่มีอยู่ เช่น ทฤษฎีหรืองานวิจัยที่มีอยู่อาจไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทั้งหมดได้ หรือทฤษฎีหรืองานวิจัยที่มีอยู่อาจไม่สามารถตอบคำถามวิจัยได้

4. สมมติฐานการวิจัย

นักวิจัยควรสร้างสมมติฐานการวิจัยจากการศึกษาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยสมมติฐานการวิจัยควรเป็นคำตอบที่คาดเดาไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย

ตัวอย่างการการวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องของการวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ทฤษฎีความเครียด

ทฤษฎีความเครียดอธิบายว่าความเครียดเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายหรือคุกคาม ทฤษฎีนี้อธิบายว่าความเครียดสามารถส่งผลต่อบุคคลได้ทั้งทางบวกและทางลบ ในทางบวก ความเครียดสามารถกระตุ้นให้บุคคลเกิดความตื่นตัวและมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างไรก็ตาม ในทางลบ ความเครียดสามารถทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลและขาดสมาธิ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าความเครียดมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับปานกลาง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีกว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับต่ำหรือสูง งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับสูง มีแนวโน้มที่จะขาดสมาธิและทำงานผิดพลาดได้ง่าย

ช่องว่างทางความรู้

จากการศึกษาทฤษฎีและความเครียดที่เกี่ยวข้อง พบว่าความเครียดสามารถส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ทั้งทางบวกและทางลบ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ระดับความเครียด ระยะเวลาในการเผชิญกับความเครียด และกลไกการเผชิญกับความเครียด

สมมติฐานการวิจัย

จากการศึกษาทฤษฎีและความเครียดที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยตั้งสมมติฐานการวิจัยว่า “ความเครียดจะมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับปานกลาง แต่จะมีความสัมพันธ์เชิงลบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับสูง”

บทสรุป

การวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบจะช่วยให้นักวิจัยสามารถเขียนบทที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้รายงานการวิจัยมีความน่าเชื่อถือ

เจาะลึกวิธีการเขียนบทที่ 2 ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทที่ 2 ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นบทสำคัญในรายงานการวิจัย เพราะจะช่วยอธิบายถึงพื้นฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย และสามารถคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร

ในการเขียนบทที่ 2 นักวิจัยควรพิจารณาจากประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

1. ระบุกรอบแนวคิดการวิจัย

กรอบแนวคิดการวิจัยเป็นกรอบความคิดที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย โดยกรอบแนวคิดการวิจัยที่ดีจะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และวิธีการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

2. ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง

นักวิจัยควรทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดและรอบคอบ โดยควรพิจารณาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านเนื้อหาและวิธีการวิจัย ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถระบุช่องว่างทางความรู้และสร้างสมมติฐานการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

นักวิจัยควรอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยควรอธิบายว่าทฤษฎีใดเป็นฐานความคิดในการวิจัย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประเด็นใดที่สอดคล้องกับการวิจัย

4. สรุปประเด็นสำคัญ

ในตอนท้ายของบทที่ 2 นักวิจัยควรสรุปประเด็นสำคัญทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงเนื้อหาของบทที่ 2 ได้อย่างครบถ้วน

ตัวอย่างการเขียนบทที่ 2

ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการเขียนบทที่ 2 ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ของการวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

บทที่ 2 ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

กรอบแนวคิดการวิจัย

กรอบแนวคิดการวิจัยของการศึกษาครั้งนี้ อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยเชื่อว่าความเครียดสามารถส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ทั้งทางบวกและทางลบ ในทางบวก ความเครียดสามารถกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความตื่นตัวและมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างไรก็ตาม ในทางลบ ความเครียดสามารถทำให้นักเรียนรู้สึกวิตกกังวลและขาดสมาธิ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าความเครียดมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับปานกลาง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีกว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับต่ำหรือสูง งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับสูง มีแนวโน้มที่จะขาดสมาธิและทำงานผิดพลาดได้ง่าย

ความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ทฤษฎีความเครียดอธิบายว่าความเครียดเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายหรือคุกคาม ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่พบว่าความเครียดสามารถส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ทั้งทางบวกและทางลบ

สรุปประเด็นสำคัญ

จากการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่าความเครียดมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ระดับความเครียด ระยะเวลาในการเผชิญกับความเครียด และกลไกการเผชิญกับความเครียด

คำแนะนำในการเขียนบทที่ 2

ในการเขียนบทที่ 2 นักวิจัยควรพิจารณาจากคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • เขียนบทที่ 2 ให้กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย
  • ใช้ภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสม และตรงประเด็น
  • อ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและถูกต้อง
  • ปีการศึกษาย้อนหลังไม่เกิน 5-8 ปี

หากนักวิจัยสามารถเขียนบทที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถช่วยให้รายงานการวิจัยมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม

การเขียนวิจัยบทที่ 2

การเขียนวิจัยบทที่ 2 ทำยากไหม มีขั้นตอนการทำอย่างไร

ภาพจาก pexels.com

หากกล่าวถึงบทที่ 2 ให้เข้าใจง่ายๆ บทนี้่เป็นบทที่มีเนื้อหาการทบทวนวรรณกรรม แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นประเด็นหลัก โดยผู้วิจัยจะต้องทำการศึกษาค้นคว้าผลงานทางวิชาการ เช่น ผลงานวิจัย บทความ วารสารทางวิชาการ นิตยสาร ข้อมูลทางเว็บไซต์ หรือหนังสือที่เกี่ยวข้องในประเด็นที่ทำการวิจัยทั้งไทยและต่างประเทศ จากนั้นผู้วิจัยจะทำการพิจารณากำหนดหัวข้อแนวคิด ทฤษฎีที่มีความสอดคล้องกับหัวข้อหรือปัญหาในเรื่องที่กำลังศึกษา เพื่อเป็นการสนับสนุนผลการวิจัยให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการเขียนบทที่ 2 อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน ที่จำเป็นต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานของตนเองที่ปฏิบัติอยู่ด้วย บทความนี้จึงมีแนวทางในการค้นคว้าเรียบเรียงส่วนประกอบต่างๆ  และขั้นตอนที่จะทำให้เขียนบทที่ 2 ประสบผลสำเร็จง่ายขึ้น ดังนี้

1. เอกสารที่เกี่ยวข้อง (Literature Review)

ภาพจาก pexels.com

การเก็บข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ไม่ว่าจะเป็นตำรา เอกสารอ้างอิง รายงานทางวิชาการ วารสาร หรือนิตยสาร ที่มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับงานวิจัยที่กำลังทำอยู่ ผู้วิจัยจะต้องแสดงความหมาย แนวคิด ระเบียบวิธีวิจัยที่สอดคล้องกับงานวิจัยของผู้วิจัย ซึ่งการเก็บข้อมูลเอกสารอาจเป็นงานวิจัยในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าผู้วิจัยต้องทำการนำเสนอออกมาในรูปแบบภาษาของผู้วิจัยเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการลอกเลียนในงานเขียนของผู้อื่น จากนั้นให้เครดิตหรืออ้างอิงแหล่งที่มาทุกครั้ง เช่น 

“ผู้วิจัยต้องการทราบจำนวนพนักงานของบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) ว่ามีจำนวนพนักงานทั้งหมดกี่คน ผู้วิจัยต้องทำการศึกษาข้อมูลจากรายงานประจำปีของบริษัทฯ ในปีล่าสุด ที่มีการแสดงจำนวนตัวเลขของพนักงานในปีนั้น หลังจากนั้นผู้วิจัยต้องทำการอ้างอิงแหล่งที่มา และปีที่ศึกษาของรายงานประจำปีบริษัทฯ  ด้วย” 

ดังนั้นผู้วิจัยจะต้องทำการเก็บไฟล์ข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องในประเด็นการศึกษาครั้งนั้นไว้ทุกครั้งด้วยเช่นกัน เพื่อเอาไว้ทำแหล่งอ้างอิงของเอกสารให้ถูกต้องตามรูปแบบที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ด้วย นอกจากนั้นการเก็บไฟล์ข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง ยังทำให้ผู้อ่านงานวิจัยทราบว่าผู้วิจัยใช้ผลงานของใครมาอ่านและค้นคว้าข้อมูล จนสามารถแยกแยะความคิดเห็นและโต้แย้งหลักการ เหตุผลออกมาในรูปแบบภาษาของผู้วิจัยเองได้ จนสามารถทราบถึงข้อความ จำนวนตัวเลข แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และตัวแปรต่างๆ ว่ามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร อีกทั้งยังทำให้ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานได้อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องจากผลงานวิจัยที่ได้ค้นคว้ามาช่วยในการแปลความหมาย และสรุปผลการวิจัย ครั้งนั้น

โดยหลักการเขียนและเรียบเรียงเอกสารที่เกี่ยวข้อง จะต้องปฏิบัติดังนี้

  • จะต้องอ่าน ศึกษา และวิเคราะห์เอกสารให้มากก่อนที่จะลงมือเขียน
  • ศึกษาแนวทางในการเขียนจากงานที่เคยเขียนขึ้นมาแล้วจากเรื่องที่มีส่วนใกล้เคียงกับงานของผู้วิจัย
  • เรียงลำดับการเขียนจากกว้างมาแคบ หรือเรียงจากคีย์เวิร์ด โดยทำการแบ่งเป็นประเด็นๆ ไป
  • ทำการเรียบเรียงโดยเขียนเป็นภาษาเขียนของตัวเอง แล้วอ้างอิงให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ไม่เป็นการ
    คัดลอกผลงานเขียนของผู้อื่น
  • จัดหมวดหมู่การนำเสนอในแต่ละประเด็นในแต่ละคีย์เวิร์ด

2. ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง (Related Theories)

ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องจะคล้ายกับตำรา เอกสารอ้างอิง รายงานทางวิชาการ วารสาร หรือนิตยสาร แต่เป็นข้อมูลของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ หรือนักวิชาการที่มีชื่อเสียงได้ทำการทุ่มเทเวลาส่วนตัวมากกว่าครึ่งชีวิต เพื่อศึกษาค้นคว้า จนสามารถวิเคราะห์ออกมาเป็นหลักทฤษฎี และเป็นประโยชน์กับผู้คนหมู่มาก ได้สามารถนำหลักการ และแนวคิดดังกล่าวไปใช้ได้  เช่น 

“ทฤษฎีปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps)  ของ Philip Kotler ซึ่งส่วนใหญ่ทฤษฎีนี้จะใช้กับธุรกิจบริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจกับผู้ให้บริการ ธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ จึงนำทฤษฎีนี้มาพัฒนา ปรับปรุงต่อยอดการให้บริการทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ (Product) ปัจจัยด้านราคา (Price) ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (Place/Channel Distribution) ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) ปัจจัยด้านบุคคล (People) ปัจจัยด้านกระบวนการ (Process) และปัจจัยด้านลักษณะทางกายภาพ (Physical Evidence) โดยปัจจัยแต่ละด้านเป็นทฤษฎีที่ Philip Kotler ได้ศึกษามาอย่างครอบคลุมแล้วว่าสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้รับบริการได้เป็นอย่างดี”  

ผู้วิจัยสามารถหาอ่านได้ตามงานวิจัยหลายเล่มที่ได้ทำการศึกษาการให้บริการในรูปแบบต่างๆ และหนังสือ วารสารวิชาการที่มีการกล่าวไว้อย่างหลากหลาย จึงอาจกล่าวได้ว่าทฤษฎีที่เกี่ยวข้องถือเป็นสารระสำคัญของการทำวิจัยในบทที่ 2 ที่มีนักวิจัยหรือนักวิชาการได้ทำการบรรยายทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาไว้โดยละเอียด โดยเนื้อหาในส่วนนี้ คือการแสดงผลการศึกษาหลักการ ทฤษฏีความรู้ที่เกี่ยวข้อง ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาการวิจัยที่ผู้วิจัยกำลังศึกษา จึงควรมีเหตุผลหรือทฤษฏีหลักการทางวิทยาศาสตร์มารองรับเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับวิจัย และสามารถนำทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเข้าไปเชื่อมโยงการวิจัยนั้นว่าต้องทำการปรับปรุง พัฒนา แก้ไข ส่วนใดให้ดีขึ้น  

โดยหลักการเลือกทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง จะต้องปฏิบัติดังนี้

  • ควรเลือกทฤษฎีที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับตัวแปรที่ศึกษาหรือเลือกให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย
  • ควรทำการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่กำลังศึกษา 
  • ควรนำเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ตามลำดับความสำคัญของตัวแปร
  • ควรหาเนื้อหาที่ทันสมัยและถูกต้องชัดเจน เชื่อถือได้

3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Related Research)

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะเป็นงานวิจัยที่เคยมีการทำมาก่อนแล้ว ซึ่งผู้วิจัยได้นำมาอ้างอิงกับการศึกษาของตนเอง โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นงานประเภทเดียวกันหรือมีการทดลองที่คล้ายกันกับงานที่ทำ รูปแบบของงานจะอยู่ในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ ต้องทราบแหล่งที่มาของเอกสาร เพื่อใช้ในการศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่ได้มาเป็นตัวกำหนดทิศทางการวิจัยได้อย่างถูกต้องทำให้มีความน่าเชื่อถือ 

โดยหลักการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จะต้องปฏิบัติดังนี้

  • อ่าน ศึกษา และวิเคราะห์งานวิจัยที่สอดคล้องให้มาก
  • เรียงลำดับการเขียนจากกว้างไปแคบ หรือเรียงตามตัวอักษร
  • นำบทคัดย่อ สรุปผล และอภิปรายผล จากงานวิจัยที่มีเนื้อหาของงานคล้ายกับงานที่จะทำการศึกษา
  • งานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะต้องประกอบด้วยผลงานวิจัยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
  • การเขียนสรุปตอนท้ายของแต่ละประเด็นที่นำเสนอผู้วิจัยจะต้องใช้ภาษาของผู้วิจัยเอง
ภาพจาก pexels.com

จึงสามารถสรุปได้ว่าการเขียนบทที่ 2 เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องมีส่วนประกอบที่ได้บอกไว้ เพราะว่าจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงสภาพขององค์ความรู้ในเรื่องที่จะทำการวิจัย หากทำตามข้อปฏิบัติตามคำแนะนำของบทความผู้วิจัยจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำงานวิจัยที่ซ้ำซ้อนกับผู้อื่นได้  ส่วนการนำเสนอข้อมูลจะต้องมีแนวคิดพื้นฐานเชิงทฤษฎีในเรื่องที่จะทำการวิจัยอย่างเพียงพอ เพื่อที่จะช่วยให้เห็นถึงแนวทางในการดำเนินงานวิจัยของตนเอง นอกจากนั้นจะต้องมีหลักฐานอ้างอิง เพื่อสนับสนุนในการอภิปรายผลการวิจัย สร้างคุณภาพ และได้มาตรฐานเชิงวิชาการให้แก่งานวิจัยนั้น เพียงขั้นตอนเท่านี้ก็จะทำให้การทำบทที่ 2 ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)