ในยุคที่ข้อมูลทางวิชาการสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดาย
การเข้าถึงบทความ งานวิจัย และเอกสารจำนวนมาก
แม้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงของ การคัดลอก (Plagiarism) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักศึกษาจำนวนมากไม่ได้ตั้งใจคัดลอก
แต่กลับพบว่า
-
งานของตนมีความคล้ายสูง
-
ถูกทักจากอาจารย์หรือกรรมการ
-
หรือไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจ plagiarism
สาเหตุหลักมักไม่ได้มาจากความไม่ซื่อสัตย์
แต่เกิดจาก
“ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการเขียนงานวิจัย”
บทความนี้จึงมุ่ง ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเขียนงานวิจัยเพื่อหลีกเลี่ยงการคัดลอก
ตั้งแต่ระดับแนวคิด วิธีปฏิบัติ ไปจนถึงการตรวจสอบขั้นสุดท้าย
เพื่อช่วยให้คุณสามารถเขียนงานวิจัยได้อย่างมั่นใจ เป็นต้นฉบับ และมีคุณภาพทางวิชาการ
ทำความเข้าใจพื้นฐานก่อน: การคัดลอกในงานวิจัยคืออะไร
ความหมายของการคัดลอก (Plagiarism)
การคัดลอก หมายถึง
การนำ
-
ข้อความ
-
แนวคิด
-
โครงสร้างการเขียน
-
หรือผลงานทางปัญญาของผู้อื่น
มาใช้โดย
-
ไม่อ้างอิง
-
อ้างอิงไม่ถูกต้อง
-
หรือทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นผลงานของตนเอง
การคัดลอกสามารถเกิดได้ทั้ง
-
แบบตั้งใจ
-
และแบบไม่ตั้งใจ
ซึ่งทั้งสองกรณี ถือเป็นการละเมิดจริยธรรมทางวิชาการ
รูปแบบการคัดลอกที่พบบ่อยในงานวิจัย
-
คัดลอกคำต่อคำ (Direct plagiarism)
-
เปลี่ยนคำเล็กน้อยแต่โครงสร้างเหมือนเดิม (Patchwriting)
-
สรุปแนวคิดผู้อื่นโดยไม่อ้างอิง
-
ใช้ภาพ ตาราง หรือข้อมูลโดยไม่ระบุแหล่งที่มา
-
คัดลอกเชิงแนวคิด (Idea plagiarism)
การหลีกเลี่ยงการคัดลอก
จึงไม่ใช่แค่ “เปลี่ยนคำ”
แต่คือการ เปลี่ยนวิธีคิดและวิธีเขียน
ส่วนที่ 1 เปลี่ยน “วิธีอ่าน” เพื่อหลีกเลี่ยงการคัดลอกตั้งแต่ต้นทาง
อ่านเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่อ่านเพื่อคัดลอก
หนึ่งในสาเหตุหลักของการคัดลอกโดยไม่ตั้งใจ คือ
-
อ่านงานต้นฉบับ
-
แล้วเขียนตามทันที
วิธีนี้ทำให้
-
โครงสร้างประโยค
-
ลำดับความคิด
-
และการใช้คำ
คล้ายต้นฉบับโดยอัตโนมัติ
แนวทางการอ่านอย่างถูกต้อง
-
อ่านเอกสารให้เข้าใจภาพรวมก่อน
-
ปิดเอกสารต้นฉบับ
-
สรุปแนวคิดด้วยความเข้าใจของตนเอง
-
แล้วจึงเขียนใหม่จากความคิดนั้น
การอ่านแบบนี้จะช่วยให้
งานเขียนออกมาเป็น “เสียงของคุณเอง”
แยก “เนื้อหา” กับ “การอ้างอิง” ให้ชัด
ขณะอ่านงานวิจัย
ควรแยกบันทึกเป็น 2 ส่วน
-
แนวคิดสำคัญ
-
แหล่งที่มา
วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงในการลืมอ้างอิง
ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของ plagiarism ที่พบบ่อยที่สุด
ส่วนที่ 2 เขียนงานวิจัยด้วย “ภาษาของตนเอง” อย่างแท้จริง
เข้าใจความหมายของ Paraphrase ที่ถูกต้อง
Paraphrase ไม่ใช่
-
เปลี่ยนคำไม่กี่คำ
-
สลับลำดับคำ
แต่คือ
การถ่ายทอดแนวคิดเดิม
ด้วยโครงสร้างภาษาและมุมมองใหม่
เทคนิค Paraphrase อย่างมีคุณภาพ
-
เปลี่ยนโครงสร้างประโยค (ยาว → สั้น / สั้น → ยาว)
-
เปลี่ยนลำดับการอธิบาย
-
ใช้คำศัพท์ในสไตล์ของตนเอง
-
เพิ่มคำอธิบายหรือการเชื่อมโยง
ทุกครั้งที่ Paraphrase
ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาเสมอ
หลีกเลี่ยง Patchwriting อย่างเด็ดขาด
Patchwriting คือ
การเปลี่ยนคำเล็กน้อย แต่โครงสร้างยังเหมือนเดิม
ซึ่งโปรแกรมตรวจการคัดลอกสามารถตรวจพบได้ง่าย
หากพบว่าประโยคที่เขียน
ยัง “มีกลิ่นต้นฉบับ”
ควรเขียนใหม่ทั้งย่อหน้า
ส่วนที่ 3 เขียนเชิงสังเคราะห์ แทนการสรุปทีละแหล่ง
ปัญหาที่พบบ่อยในบทที่ 2
บทเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เป็นแหล่งเกิด plagiarism สูงที่สุด
เนื่องจากนักศึกษามัก
-
สรุปงานทีละเรื่อง
-
เขียนตามลำดับผู้วิจัย
วิธีนี้ทำให้งาน
-
คล้ายต้นฉบับหลายแหล่ง
-
และขาดความเป็นต้นฉบับ
การเขียนเชิงสังเคราะห์คืออะไร
การเขียนเชิงสังเคราะห์ คือ
การนำ
-
หลายแนวคิด
-
หลายงานวิจัย
มา
-
เปรียบเทียบ
-
เชื่อมโยง
-
วิเคราะห์ร่วมกัน
โดยผู้เขียนมีบทบาทเป็น “ผู้เรียบเรียงความรู้”
ตัวอย่างแนวทางการสังเคราะห์
แทนที่จะเขียนว่า
-
ผู้วิจัย A พบว่า…
-
ผู้วิจัย B พบว่า…
ให้เขียนว่า
-
งานวิจัยหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า…
-
อย่างไรก็ตาม งานบางชิ้นเสนอว่า…
พร้อมอ้างอิงหลายแหล่งในประโยคเดียว
ส่วนที่ 4 การอ้างอิงอย่างถูกต้อง คือเกราะป้องกันการคัดลอก
เข้าใจบทบาทของการอ้างอิง
การอ้างอิงไม่ได้ทำให้งาน “ดูไม่เก่ง”
แต่กลับช่วย
-
เพิ่มความน่าเชื่อถือ
-
แสดงความเข้าใจในองค์ความรู้เดิม
-
ปกป้องผู้เขียนจากข้อกล่าวหา plagiarism
หลักการอ้างอิงที่ควรยึดถือ
-
ทุกแนวคิดที่ไม่ใช่ของตนเอง ต้องอ้างอิง
-
อ้างอิงในเนื้อหาและบรรณานุกรมต้องตรงกัน
-
ใช้รูปแบบเดียวกันทั้งเล่ม
-
ตรวจสอบชื่อผู้แต่ง ปี และชื่อเรื่องให้ถูกต้อง
ใช้โปรแกรมจัดการบรรณานุกรมช่วยลดข้อผิดพลาด
โปรแกรม เช่น
-
EndNote
-
Zotero
-
Mendeley
ช่วย
-
จัดการแหล่งอ้างอิง
-
ลดความผิดพลาดเชิงรูปแบบ
-
ประหยัดเวลา
แต่ผู้เขียนยังต้องตรวจสอบความถูกต้องเองเสมอ
ส่วนที่ 5 เขียนจากความเข้าใจ ไม่เขียนเพื่อ “ผ่านโปรแกรม”
ความเข้าใจผิดที่อันตราย
นักศึกษาหลายคนเขียนงานโดยตั้งเป้า
-
ให้ Similarity ต่ำ
มากกว่า -
ให้เนื้อหามีคุณภาพ
ผลคือ
-
เขียนวกวน
-
ใช้คำซับซ้อนเกินจำเป็น
-
หรือหลบโครงสร้างจนงานอ่านไม่รู้เรื่อง
หลักคิดที่ถูกต้อง
เขียนเพื่อ “สื่อสารความรู้”
ไม่ใช่เพื่อ “เอาชนะโปรแกรม”
หากงาน
-
มีการอ้างอิงถูกต้อง
-
เขียนด้วยความเข้าใจ
-
และมีการสังเคราะห์
เปอร์เซ็นต์ที่ได้จะอยู่ในระดับยอมรับได้โดยธรรมชาติ
ส่วนที่ 6 ใช้โปรแกรมตรวจสอบการคัดลอกอย่างมีจริยธรรม
โปรแกรมเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้ตัดสิน
โปรแกรมตรวจการคัดลอก
-
ตรวจความคล้ายของข้อความ
-
ไม่ได้ตัดสินเจตนา
ผู้เขียนต้อง
-
อ่านรายงานเชิงลึก
-
วิเคราะห์ว่าความคล้ายเกิดจากอะไร
-
แก้ไขอย่างมีเหตุผล
แนวทางใช้โปรแกรมให้เกิดประโยชน์
-
ตรวจเมื่อเนื้อหาใกล้สมบูรณ์
-
อ่านรายงานทุกส่วน
-
แก้ไขด้วยการเขียนใหม่ ไม่ใช่เปลี่ยนคำ
-
ตรวจซ้ำหลังแก้ไข
ส่วนที่ 7 Checklist การเขียนงานวิจัยเพื่อหลีกเลี่ยงการคัดลอก
-
⬜ อ่านและเข้าใจเอกสารก่อนเขียน
-
⬜ เขียนจากความคิดของตนเอง
-
⬜ Paraphrase อย่างแท้จริง
-
⬜ สังเคราะห์เอกสาร ไม่สรุปทีละเรื่อง
-
⬜ อ้างอิงครบถ้วนและถูกต้อง
-
⬜ ตรวจสอบการคัดลอกก่อนส่ง
-
⬜ อ่านรายงาน ไม่ดูแค่เปอร์เซ็นต์
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด
-
คัดลอกแล้วค่อยอ้างอิงทีหลัง
-
แก้ไขเพื่อหลบโปรแกรม
-
ใช้แหล่งข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบ
-
รีบเขียนโดยไม่วางแผน
สรุป: การหลีกเลี่ยงการคัดลอก เริ่มจาก “วิธีคิด” ไม่ใช่ “เทคนิคหลบ”
การเขียนงานวิจัยเพื่อหลีกเลี่ยงการคัดลอก
ไม่ใช่เรื่องของกลเม็ดหรือทางลัด
แต่คือ
-
ความเข้าใจในจริยธรรม
-
ความเคารพต่อผลงานผู้อื่น
-
และการพัฒนาทักษะการเขียนอย่างแท้จริง
เมื่อคุณ
-
อ่านอย่างเข้าใจ
-
เขียนด้วยเสียงของตนเอง
-
สังเคราะห์องค์ความรู้
-
และอ้างอิงอย่างถูกต้อง
งานวิจัยของคุณจะ
✔ เป็นต้นฉบับ
✔ มีคุณภาพ
✔ และผ่านการตรวจสอบอย่างมั่นใจ
มั่นใจในคุณภาพงานวิจัย ด้วยทีมงานระดับมืออาชีพ
บทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์ความรู้ที่เราเชี่ยวชาญ หากคุณต้องการยกระดับงานวิจัยของคุณให้มีความสมบูรณ์แบบ เราให้บริการ รับทำวิทยานิพนธ์ และ รับทำวิจัย ครบวงจร ครอบคลุมทั้งสายสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การันตีคุณภาพและความลับของลูกค้า
อย่าปล่อยให้ความกังวลใจฉุดรั้งความสำเร็จของคุณ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตัวจริงวันนี้ ทักไลน์ @impressedu