นักศึกษาหลายคน โดยเฉพาะในระดับปริญญาโทและปริญญาตรี มักมีคำถามว่า
“งานวิจัย” กับ “IS (Independent Study)” ต่างกันอย่างไร และควรเลือกทำแบบไหนดี
แม้ทั้งสองรูปแบบจะเป็นงานทางวิชาการที่ต้องใช้การค้นคว้า วิเคราะห์ และเขียนอย่างเป็นระบบ แต่ในรายละเอียดเชิงลึกกลับมีความแตกต่างกันหลายด้าน หากเข้าใจไม่ชัดเจนอาจนำไปสู่การเลือกผิดประเภท และส่งผลต่อภาระงานและการประเมินในระยะยาว
บทความนี้จะอธิบาย 5 ความแตกต่างสำคัญระหว่างงานวิจัยและ IS เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับเป้าหมายของตนเอง
1. ความแตกต่างด้านวัตถุประสงค์ของงาน
งานวิจัย
งานวิจัยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ
-
สร้างองค์ความรู้ใหม่
-
ทดสอบสมมติฐาน
-
อธิบายหรือพยากรณ์ปรากฏการณ์
-
พัฒนาทฤษฎี แนวคิด หรือแนวทางปฏิบัติ
งานวิจัยจึงเน้นความเข้มงวดทางวิชาการ และต้องมีคุณค่าเชิงองค์ความรู้
IS (Independent Study)
IS มีวัตถุประสงค์เพื่อ
-
ศึกษาเชิงลึกในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง
-
ประยุกต์ใช้ความรู้ที่มีอยู่
-
แสดงความสามารถในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ของผู้เรียน
IS ไม่จำเป็นต้องสร้างองค์ความรู้ใหม่ แต่เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ
สรุปสั้น ๆ
งานวิจัย = สร้างความรู้ใหม่
IS = ประยุกต์และสังเคราะห์ความรู้เดิม
2. ความแตกต่างด้านกระบวนการศึกษา
งานวิจัย
กระบวนการทำงานวิจัยมักประกอบด้วย
-
การตั้งสมมติฐานหรือคำถามวิจัย
-
การออกแบบระเบียบวิธีวิจัย
-
การเก็บข้อมูลภาคสนามหรือเชิงทดลอง
-
การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ
-
การอภิปรายผลและสรุปข้อค้นพบ
ทุกขั้นตอนต้องอ้างอิงหลักการวิจัยอย่างเคร่งครัด
IS
กระบวนการทำ IS มักเน้น
-
การค้นคว้าเอกสาร
-
การวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี หรือกรณีศึกษา
-
การสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง
-
การนำเสนอข้อสรุปหรือแนวทางประยุกต์ใช้
IS บางกรณีอาจไม่มีการเก็บข้อมูลภาคสนาม
3. ความแตกต่างด้านรูปแบบและโครงสร้างการเขียน
งานวิจัย
งานวิจัยมีโครงสร้างมาตรฐานค่อนข้างชัดเจน เช่น
-
บทนำ
-
วัตถุประสงค์และสมมติฐาน
-
ระเบียบวิธีวิจัย
-
ผลการวิจัย
-
อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
การเขียนต้องใช้ภาษาทางวิชาการ และมีการอ้างอิงอย่างเคร่งครัด
IS
โครงสร้างของ IS มีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยขึ้นอยู่กับแนวทางของหลักสูตรหรือสถาบัน อาจเป็น
-
การศึกษาเชิงเอกสาร
-
การวิเคราะห์กรณีศึกษา
-
การนำเสนอแนวคิดเชิงบูรณาการ
รูปแบบการเขียนอาจไม่เข้มงวดเท่างานวิจัยเต็มรูปแบบ
4. ความแตกต่างด้านความเข้มข้นและภาระงาน
งานวิจัย
งานวิจัยต้องใช้เวลาและความพยายามสูง เนื่องจาก
-
ต้องออกแบบการวิจัยอย่างรอบคอบ
-
ต้องเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจริง
-
ต้องผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์หรือคณะกรรมการหลายขั้นตอน
จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการวิจัยเชิงลึก
IS
IS มีความเข้มข้นน้อยกว่างานวิจัย
-
ใช้เวลาทำน้อยกว่า
-
เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง
-
เหมาะกับผู้ที่ต้องการสำเร็จการศึกษาโดยไม่ต้องทำวิจัยเต็มรูปแบบ
5. ความแตกต่างด้านการประเมินและการนำไปใช้
งานวิจัย
ผลงานวิจัยสามารถ
-
นำไปตีพิมพ์ในวารสาร
-
ใช้ต่อยอดในงานวิจัยขั้นสูง
-
ใช้ประกอบการเลื่อนตำแหน่งหรือประเมินวิชาการ
จึงมีคุณค่าเชิงวิชาการในระยะยาว
IS
IS มักใช้เพื่อ
-
ประเมินผลการเรียนในรายวิชา
-
แสดงศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
-
ไม่ได้มุ่งเน้นการเผยแพร่เชิงวิชาการ
ตารางสรุปความแตกต่างระหว่างงานวิจัย และ IS
| ประเด็นเปรียบเทียบ | งานวิจัย | IS |
|---|---|---|
| วัตถุประสงค์ | สร้างองค์ความรู้ใหม่ | ศึกษาและประยุกต์ความรู้ |
| กระบวนการ | เข้มงวด มีการเก็บข้อมูล | ยืดหยุ่น เน้นการค้นคว้า |
| โครงสร้าง | มาตรฐานชัดเจน | ยืดหยุ่น |
| ความเข้มข้น | สูง | ปานกลาง |
| การนำไปใช้ | ตีพิมพ์/ต่อยอด | ประเมินผลการเรียน |
สรุป: ควรเลือกทำงานวิจัยหรือ IS ดี
การเลือกทำ งานวิจัยหรือ IS ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของผู้เรียน หากต้องการพัฒนาทักษะด้านการวิจัยเชิงลึก หรือต่อยอดทางวิชาการ งานวิจัยคือทางเลือกที่เหมาะสม แต่หากต้องการศึกษาประเด็นเฉพาะและสำเร็จการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ IS อาจตอบโจทย์มากกว่า
การเข้าใจความแตกต่างอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น จะช่วยให้คุณวางแผนการเรียนและการทำงานทางวิชาการได้อย่างเหมาะสมและไม่เสียเวลาในระยะยาว
มั่นใจในคุณภาพงานวิจัย ด้วยทีมงานระดับมืออาชีพ
บทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์ความรู้ที่เราเชี่ยวชาญ หากคุณต้องการยกระดับงานวิจัยของคุณให้มีความสมบูรณ์แบบ เราให้บริการ รับทำวิทยานิพนธ์ และ รับทำวิจัย ครบวงจร ครอบคลุมทั้งสายสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การันตีคุณภาพและความลับของลูกค้า
อย่าปล่อยให้ความกังวลใจฉุดรั้งความสำเร็จของคุณ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตัวจริงวันนี้ ทักไลน์ @impressedu