ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การวิจัยแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอที่จะตอบคำถามที่ซับซ้อนและท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การวิจัยเชิงผสม (Mixed Methods Research) นำเสนอวิธีการวิจัยแบบใหม่ที่ผสมผสานทั้งวิธีเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เข้าด้วยกัน ช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ได้อย่างลึกซึ้งและครอบคลุม
การวิจัยเชิงผสมคืออะไร?
การวิจัยเชิงผสม หมายถึง การใช้ทั้งวิธีเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) ร่วมกันในการวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและลึกซึ้ง วิธีเชิงปริมาณ เน้นการเก็บข้อมูลตัวเลข นำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติ ส่วนวิธีเชิงคุณภาพ เน้นการเก็บข้อมูลเชิงลึก เข้าใจความคิด ความรู้สึก พฤติกรรมของมนุษย์
ข้อดีของการวิจัยเชิงผสม
- เพิ่มความครอบคลุม: การใช้ทั้งสองวิธี ช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ได้อย่างครบถ้วน มองเห็นภาพรวมและรายละเอียด
- เพิ่มความลึกซึ้ง: เข้าใจบริบท ความคิด ความรู้สึก พฤติกรรม เบื้องหลังตัวเลข
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง ช่วยเพิ่มความมั่นใจในผลการวิจัย
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ใช้จุดแข็งของแต่ละวิธี เสริมจุดอ่อน ช่วยให้การวิจัยมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการใช้การวิจัยเชิงผสม
- การศึกษาความพึงพอใจของลูกค้า: เก็บข้อมูลตัวเลข (คะแนน) ควบคู่กับการสัมภาษณ์เชิงลึก เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังคะแนน
- การศึกษาประสิทธิภาพของโครงการ: เก็บข้อมูลตัวเลข (ผลลัพธ์) ควบคู่กับการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการ เข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อผลลัพธ์
- การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค: เก็บข้อมูลตัวเลข (รูปแบบการซื้อ) ควบคู่กับการสังเกตพฤติกรรม เข้าใจกลไกเบื้องหลังการตัดสินใจซื้อ
การวิจัยเชิงผสม: ทางเลือกใหม่สำหรับนักวิจัย
การวิจัยเชิงผสม เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้นักวิจัยสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อน เข้าใจปรากฏการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง เหมาะกับการวิจัยในหลากหลายสาขาวิชา
ข้อควรระวัง
- การออกแบบการวิจัย: ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เลือกวิธีการ เก็บข้อมูล วิเคราะห์ อย่างเหมาะสม
- ทักษะ: นักวิจัยต้องมีความรู้ ทักษะ ทั้งวิธีเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ
- การตีความ: ตีความผลการวิจัยอย่างรอบคอบ พิจารณาข้อจำกัด อคติ
บทสรุป
การวิจัยเชิงผสม เป็นวิธีการวิจัยแบบใหม่ ช่วยให้นักวิจัยก้าวข้ามขีดจำกัด เข้าใจปรากฏการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง ครอบคลุม เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ เหมาะกับการวิจัยในยุคปัจจุบัน