Regression Analysis หรือ การวิเคราะห์ถดถอย เป็นหนึ่งในเทคนิคทางสถิติที่สำคัญและถูกใช้อย่างแพร่หลายในงานวิจัยเชิงปริมาณ เนื่องจากสามารถอธิบายความสัมพันธ์และทดสอบอิทธิพลของตัวแปรอิสระที่มีต่อตัวแปรตามได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยด้านการศึกษา บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือสาธารณสุข
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยจำนวนมากยังประสบปัญหาในการใช้ Regression Analysis เช่น ไม่เข้าใจว่าควรใช้เมื่อใด เลือกตัวแปรไม่เหมาะสม แปลผลผิด หรือไม่สามารถอธิบายผลการวิเคราะห์ได้อย่างเป็นวิชาการ ดังนั้น การเรียนรู้ การใช้ Regression Analysis ในงานวิจัย พร้อมตัวอย่างและคำอธิบาย จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
บทความนี้จะอธิบาย Regression Analysis ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน ประเภท ขั้นตอนการใช้ พร้อมตัวอย่างเชิงอธิบายและแนวทางการเขียนรายงาน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานวิจัยของตนได้อย่างถูกต้อง
ความหมายและบทบาทของ Regression Analysis ในงานวิจัย
Regression Analysis คือเทคนิคทางสถิติที่ใช้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
-
ตัวแปรอิสระ (Independent Variables)
-
ตัวแปรตาม (Dependent Variable)
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
-
อธิบายว่าตัวแปรอิสระใดส่งผลต่อตัวแปรตาม
-
ประเมินทิศทางและขนาดของอิทธิพล
-
ทดสอบสมมติฐานเชิงสาเหตุ
-
พยากรณ์ค่าของตัวแปรตาม
Regression Analysis จึงเป็นหัวใจสำคัญของงานวิจัยเชิงปริมาณ โดยเฉพาะในบทที่ 4 ของวิทยานิพนธ์
ประเภทของ Regression Analysis ที่ใช้บ่อยในงานวิจัย
ก่อนดูตัวอย่าง ควรเข้าใจประเภทของ Regression Analysis ที่นิยมใช้
1. Simple Linear Regression
ใช้เมื่อต้องการศึกษาผลของตัวแปรอิสระ 1 ตัวต่อตัวแปรตาม 1 ตัว
2. Multiple Regression Analysis
ใช้เมื่อมีตัวแปรอิสระมากกว่า 1 ตัว เป็นประเภทที่พบมากที่สุดในงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา
3. Logistic Regression
ใช้เมื่อ ตัวแปรตามเป็นเชิงกลุ่ม เช่น ผ่าน/ไม่ผ่าน สำเร็จ/ไม่สำเร็จ
บทความนี้จะเน้นตัวอย่าง Multiple Regression Analysis ซึ่งเป็นกรณีที่นักวิจัยใช้มากที่สุด
ขั้นตอนการใช้ Regression Analysis ในงานวิจัย (ภาพรวม)
การใช้ Regression Analysis อย่างถูกต้องควรดำเนินการตามลำดับดังนี้
-
กำหนดปัญหา วัตถุประสงค์ และสมมติฐาน
-
กำหนดตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
-
ตรวจสอบความเหมาะสมของข้อมูล
-
ตรวจสอบสมมติฐานของ Regression
-
วิเคราะห์ข้อมูล
-
แปลผลและสรุปผล
-
เขียนรายงานผลการวิเคราะห์
ในส่วนถัดไปจะอธิบายแต่ละขั้นตอนพร้อมตัวอย่าง
ตัวอย่างงานวิจัย: การใช้ Regression Analysis
ตัวอย่างหัวข้องานวิจัย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
ตัวแปรในการวิจัย
-
ตัวแปรตาม (Y): ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
-
ตัวแปรอิสระ (X):
-
X₁ แรงจูงใจในการเรียน
-
X₂ วิธีการเรียนรู้
-
X₃ การสนับสนุนจากครอบครัว
-
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดสมมติฐานการวิจัย
ตัวอย่างสมมติฐาน
-
H₁: แรงจูงใจในการเรียนส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
-
H₂: วิธีการเรียนรู้ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
-
H₃: การสนับสนุนจากครอบครัวส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
Regression Analysis จะใช้ทดสอบสมมติฐานเหล่านี้
ขั้นตอนที่ 2 การตรวจสอบสมมติฐานของ Regression Analysis
ก่อนวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยต้องตรวจสอบสมมติฐานสำคัญ ได้แก่
-
ความเป็นเชิงเส้น
-
การแจกแจงแบบปกติของค่าคลาดเคลื่อน
-
ความแปรปรวนคงที่
-
ปัญหา Multicollinearity
ตัวอย่างการรายงาน
ผลการตรวจสอบ Multicollinearity พบว่า ค่า VIF ของตัวแปรอิสระทุกตัวมีค่าน้อยกว่า 5 แสดงว่าไม่พบปัญหา Multicollinearity
ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ Multiple Regression
เมื่อข้อมูลผ่านการตรวจสอบแล้ว จึงทำการวิเคราะห์ Multiple Regression
รูปแบบสมการถดถอย
Y = b₀ + b₁X₁ + b₂X₂ + b₃X₃ + e
โดย
-
b₀ = ค่าคงที่
-
b₁, b₂, b₃ = ค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย
-
e = ค่าคลาดเคลื่อน
ขั้นตอนที่ 4 การแปลผล Regression Analysis (ตัวอย่าง)
1. การแปลค่า R²
ค่า R² = 0.62 หมายความว่า ตัวแปรอิสระทั้งสามสามารถอธิบายความแปรปรวนของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ร้อยละ 62
2. การแปลค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย
-
แรงจูงใจ (β = 0.45, p < .01)
→ มีอิทธิพลเชิงบวกและมีนัยสำคัญ -
วิธีการเรียนรู้ (β = 0.30, p < .05)
→ มีอิทธิพลเชิงบวก -
การสนับสนุนจากครอบครัว (β = 0.10, p > .05)
→ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
ตัวอย่างการเขียนเชิงวิชาการ
ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณพบว่า แรงจูงใจในการเรียนและวิธีการเรียนรู้มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่การสนับสนุนจากครอบครัวไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างการเขียนผล Regression Analysis ในบทที่ 4
ตัวอย่างข้อความที่นิยมใช้ในวิทยานิพนธ์
ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแสดงให้เห็นว่า ตัวแปรอิสระทั้งสามสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ร้อยละ 62 โดยแรงจูงใจในการเรียนเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลสูงที่สุด รองลงมาคือวิธีการเรียนรู้
ข้อความลักษณะนี้สะท้อนทั้งผลเชิงสถิติและเชิงเนื้อหา
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Regression Analysis
-
ใช้ Regression โดยไม่อิงทฤษฎี
-
ไม่ตรวจสอบสมมติฐานก่อนวิเคราะห์
-
แปลผล Regression เป็นเชิงสาเหตุโดยสมบูรณ์
-
ดูเฉพาะค่า p-value โดยไม่ดูขนาดอิทธิพล
-
ไม่อธิบายความหมายเชิงเนื้อหา
การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้จะช่วยให้งานวิจัยมีคุณภาพสูงขึ้น
Regression Analysis กับงานวิจัยระดับวิทยานิพนธ์
ในงานวิทยานิพนธ์ อาจารย์และกรรมการมักพิจารณา
-
ความเหมาะสมของตัวแปร
-
ความถูกต้องของวิธีวิเคราะห์
-
ความสามารถในการอธิบายผล
นักวิจัยที่เข้าใจ Regression Analysis อย่างแท้จริงจะสามารถตอบคำถามกรรมการได้อย่างมั่นใจ
ข้อแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับนักวิจัย
-
เริ่มจากกรอบแนวคิด ไม่ใช่โปรแกรมสถิติ
-
ใช้ Regression เพื่อ “อธิบาย” ไม่ใช่ “ตกแต่งผล”
-
รายงานผลอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา
-
อธิบายผลลัพธ์ให้เชื่อมโยงกับบริบทการวิจัย
บทสรุป
การใช้ Regression Analysis ในงานวิจัย: ตัวอย่างและคำอธิบาย แสดงให้เห็นว่า Regression Analysis ไม่ใช่เพียงการคำนวณทางสถิติ แต่เป็นกระบวนการเชิงวิชาการที่ต้องอาศัยการออกแบบงานวิจัยที่ดี การเลือกตัวแปรอย่างเหมาะสม การตรวจสอบสมมติฐาน และการแปลผลอย่างมีวิจารณญาณ หากใช้อย่างถูกต้อง Regression Analysis จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ช่วยให้งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำผลไปใช้ประโยชน์ได้จริง
Regression ที่ดีไม่ใช่ Regression ที่ซับซ้อนที่สุด แต่คือ Regression ที่ ชัดเจน มีเหตุผล และอธิบายได้
มั่นใจในคุณภาพงานวิจัย ด้วยทีมงานระดับมืออาชีพ
บทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์ความรู้ที่เราเชี่ยวชาญ หากคุณต้องการยกระดับงานวิจัยของคุณให้มีความสมบูรณ์แบบ เราให้บริการ รับทำวิทยานิพนธ์ และ รับทำวิจัย ครบวงจร ครอบคลุมทั้งสายสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การันตีคุณภาพและความลับของลูกค้า
อย่าปล่อยให้ความกังวลใจฉุดรั้งความสำเร็จของคุณ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตัวจริงวันนี้ ทักไลน์ @impressedu