งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัยเชิงวิชาการ เนื่องจากเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยที่ศึกษาประเด็นเดียวกันหรือใกล้เคียงกับประเด็นที่วิจัย เพื่อให้ผู้วิจัยเข้าใจบริบทและแนวทางการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้การวิจัยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนั้น มี เคล็ดลับในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่จะช่วยให้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
1. กำหนดขอบเขตของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดขอบเขตของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากจะช่วยให้การค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงประเด็นมากขึ้น โดยขอบเขตของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาจากประเด็นที่ศึกษา ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และระยะเวลาที่ต้องการศึกษา
- ประเด็นที่ศึกษา
ประเด็นที่ศึกษาคือหัวข้อหรือปัญหาที่งานวิจัยจะศึกษา โดยการกำหนดขอบเขตของประเด็นที่ศึกษาจะช่วยให้สามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างตรงประเด็นมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่” การกำหนดขอบเขตของประเด็นที่ศึกษาอาจพิจารณาจากประเด็นย่อย ๆ เช่น ปัจจัยทางธุรกิจ ปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยสภาพแวดล้อม เป็นต้น
- ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
ตัวแปรที่เกี่ยวข้องคือสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา โดยการกำหนดขอบเขตของตัวแปรที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้สามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่” การกำหนดขอบเขตของตัวแปรที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาจากตัวแปรย่อย ๆ เช่น ทักษะทางธุรกิจ ประสบการณ์การทำงาน การศึกษาระดับสูง การมีเครือข่ายทางธุรกิจ เป็นต้น
- ระยะเวลาที่ต้องการศึกษา
ระยะเวลาที่ต้องการศึกษาคือช่วงเวลาที่งานวิจัยจะศึกษา โดยการกำหนดขอบเขตของระยะเวลาที่ต้องการศึกษาจะช่วยให้สามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างทันสมัยมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่” การกำหนดขอบเขตของระยะเวลาที่ต้องการศึกษาอาจพิจารณาจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในช่วง 5 ปีล่าสุด เป็นต้น
การกำหนดขอบเขตของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถทำได้โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
2. ค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ
การค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบจะช่วยให้สามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างครอบคลุมและหลากหลาย โดยผู้วิจัยสามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้
ฐานข้อมูลออนไลน์
ฐานข้อมูลออนไลน์เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่รวบรวมงานวิจัยจากทั่วโลก โดยผู้วิจัยสามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้จากฐานข้อมูลออนไลน์ต่าง ๆ เช่น
- Scopus
- Web of Science
- PubMed
- ERIC
- ACM Digital Library
- IEEE Xplore
วารสารวิชาการ
วารสารวิชาการเป็นแหล่งเผยแพร่งานวิจัยที่ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ โดยผู้วิจัยสามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้จากวารสารวิชาการต่าง ๆ โดยพิจารณาจากหัวข้อวารสารหรือชื่อผู้แต่ง
เว็บไซต์วิชาการ
เว็บไซต์วิชาการเป็นแหล่งรวบรวมงานวิจัยและบทความวิชาการต่าง ๆ โดยผู้วิจัยสามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้จากเว็บไซต์วิชาการต่าง ๆ เช่น
- Google Scholar
- ResearchGate
- Academia.edu
- ScienceDirect
- SpringerLink
นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังสามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้จากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เช่น วิทยานิพนธ์ รายงานวิจัย และบทความในหนังสือ เป็นต้น
ในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ผู้วิจัยควรดำเนินการดังนี้
- กำหนดขอบเขตของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดขอบเขตของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้การค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงประเด็นมากขึ้น
- กำหนดคำสำคัญ (Keywords)
คำสำคัญเป็นคำหรือกลุ่มคำที่ใช้ในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยผู้วิจัยควรกำหนดคำสำคัญให้ครอบคลุมประเด็นที่ศึกษาและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
- ใช้เครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่เหมาะสม
ผู้วิจัยควรใช้เครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ฐานข้อมูลออนไลน์ วารสารวิชาการ และเว็บไซต์วิชาการ
- ดำเนินการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ
ผู้วิจัยควรดำเนินการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจากหัวข้องานวิจัย วิธีการวิจัย และผลการวิจัย
- บันทึกผลการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ผู้วิจัยควรบันทึกผลการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด โดยระบุชื่อผู้แต่ง ปีพิมพ์ หัวข้องานวิจัย วิธีการวิจัย และผลการวิจัย
การค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเข้าใจบริบทและแนวทางการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้การวิจัยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
3. วิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ
การวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบเป็นขั้นตอนสำคัญในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากจะช่วยให้เข้าใจเนื้อหาและข้อค้นพบที่สำคัญจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้การวิจัยมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น
ในการวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ผู้วิจัยควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
ประเด็นหลักของงานวิจัย
ผู้วิจัยควรพิจารณาประเด็นหลักของงานวิจัย ได้แก่ ตัวแปรที่ศึกษา สมมติฐานการวิจัย และวิธีการวิจัย
วิธีการวิจัย
ผู้วิจัยควรพิจารณาวิธีการวิจัยที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ประเภทของงานวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัย
ผู้วิจัยควรพิจารณาผลการวิจัยที่ได้จากการวิจัย ได้แก่ ผลการศึกษาเชิงปริมาณ ผลการศึกษาเชิงคุณภาพ และข้อสรุปของงานวิจัย
นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ผู้วิจัยควรพิจารณาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจบริบทของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ช่องว่างทางความรู้หรือข้อค้นพบใหม่ ๆ จากงานวิจัย
ผู้วิจัยควรพิจารณาช่องว่างทางความรู้หรือข้อค้นพบใหม่ ๆ จากงานวิจัย ซึ่งจะช่วยให้กำหนดขอบเขตและความสำคัญของงานวิจัยของตนเองได้
การวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจบริบทและแนวทางการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้การวิจัยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
4. อ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง
การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานวิจัยเชิงวิชาการ เนื่องจากเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบและครอบคลุม ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถติดตามข้อมูลอ้างอิงเพื่อศึกษาเพิ่มเติมได้
การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องควรทำทั้งภายในเนื้อหาและท้ายเล่ม โดยภายในเนื้อหาควรระบุชื่อผู้แต่งและปีพิมพ์ของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยอาจระบุเลขหน้าด้วยก็ได้ ส่วนการอ้างอิงท้ายเล่มนั้น ควรทำตามรูปแบบการอ้างอิงที่สถาบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด
รูปแบบการอ้างอิงงานวิจัยที่นิยมใช้ในประเทศไทย ได้แก่
- รูปแบบ APA (American Psychological Association)
- รูปแบบ MLA (Modern Language Association)
- รูปแบบ Chicago Manual of Style
ตัวอย่างการอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในรูปแบบ APA
- หนังสือ
สมชาย นามสมมติ. (2565). หัวข้อหนังสือ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง.
- บทความในหนังสือ
สมหญิง นามสมมติ. (2564). ชื่อบทความ. ใน สมชาย นามสมมติ (บรรณาธิการ), หนังสือรวมบทความ (หน้า 1-20). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง.
- บทความในวารสาร
สมชาย นามสมมติ. (2565). ชื่อบทความ. วารสารวิชาการแห่งหนึ่ง, 10(2), 1-10.
- วิทยานิพนธ์
สมชาย นามสมมติ. (2565). หัวข้อวิทยานิพนธ์. วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก, มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง.
- รายงานวิจัย
สมชาย นามสมมติ. (2565). หัวข้อรายงานวิจัย. รายงานวิจัย, มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง.
- เว็บไซต์
สมชาย นามสมมติ. (2565, 1 มกราคม). ชื่อเว็บไซต์. สืบค้นจาก …..
การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องจะช่วยให้งานวิจัยมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและวงการวิชาการ
ตัวอย่างการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
สมมติว่าศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่” งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอาจกล่าวถึงงานวิจัยที่ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการโดยทั่วไป เช่น ทักษะทางธุรกิจ ประสบการณ์การทำงาน การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจกล่าวถึงงานวิจัยที่ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เช่น การศึกษาระดับสูง การมีเครือข่ายทางธุรกิจ เป็นต้น
ในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรกล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด โดยอธิบายประเด็นหลักของงานวิจัย วิธีการวิจัย และผลการวิจัย โดยอาจแบ่งงานวิจัยที่เกี่ยวข้องออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ตามประเด็นสำคัญ เช่น
- ปัจจัยทางธุรกิจ เช่น ทักษะทางธุรกิจ ประสบการณ์การทำงาน
- ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น การศึกษาระดับสูง การมีเครือข่ายทางธุรกิจ
- ปัจจัยสภาพแวดล้อม เช่น นโยบายภาครัฐ สภาพเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ควรวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
- แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
- ข้อค้นพบที่สำคัญจากงานวิจัย
- ช่องว่างทางความรู้หรือข้อค้นพบใหม่ ๆ จากงานวิจัย
เคล็ดลับในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้งานวิจัยมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและวงการวิชาการ