วิธีการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิผล

การเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประกอบสำคัญของงานวิจัยทุกประเภท ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของงานวิจัย ประเด็นปัญหาที่ศึกษา และแนวทางการวิจัยที่ใช้ในการศึกษา วิธีการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิผล จะช่วยให้งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับจากผู้อ่าน

วิธีการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิผล มีดังนี้

1. กำหนดขอบเขตของงานวิจัย

ก่อนที่จะเริ่มค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรกำหนดขอบเขตของงานวิจัยให้ชัดเจนก่อน เพื่อให้สามารถระบุได้ว่างานวิจัยที่เกี่ยวข้องควรเป็นงานวิจัยที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง

  • ขอบเขตของงานวิจัย หมายถึง ขอบเขตเนื้อหาที่ศึกษา ขอบเขตกลุ่มตัวอย่าง ขอบเขตเวลา ขอบเขตวิธีการรวบรวมข้อมูล และขอบเขตตัวแปรที่ต้องศึกษา การกำหนดขอบเขตของงานวิจัยมีความสำคัญต่องานวิจัยทุกประเภท เนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยสามารถมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาเฉพาะเจาะจงและสามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ขอบเขตเนื้อหาที่ศึกษา หมายถึง ขอบเขตของหัวข้อที่ศึกษา ซึ่งอาจระบุเป็นแนวคิด ทฤษฎี หรือตัวแปรที่ศึกษา ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ขอบเขตเนื้อหาที่ศึกษาคือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
  • ขอบเขตกลุ่มตัวอย่าง หมายถึง กลุ่มของประชากรที่ศึกษา ซึ่งอาจระบุเป็นลักษณะเฉพาะของประชากร เช่น เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา หรือสถานที่ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ขอบเขตกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
  • ขอบเขตเวลา หมายถึง ช่วงเวลาที่ศึกษา ซึ่งอาจระบุเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นและช่วงเวลาสิ้นสุดของการศึกษา ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ขอบเขตเวลาคือ การศึกษาในช่วงปีการศึกษา 2565
  • ขอบเขตวิธีการรวบรวมข้อมูล หมายถึง วิธีที่ใช้รวบรวมข้อมูล ซึ่งอาจระบุเป็นวิธีการสัมภาษณ์ การสำรวจ การสังเกตการณ์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ขอบเขตวิธีการรวบรวมข้อมูลคือ การสัมภาษณ์นักเรียนและครู
  • ขอบเขตตัวแปรที่ต้องศึกษา หมายถึง ตัวแปรที่ศึกษา ซึ่งอาจระบุเป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม หรือตัวแปรควบคุม ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ขอบเขตตัวแปรที่ต้องศึกษาคือ ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้านโรงเรียน และปัจจัยด้านตัวนักเรียนเอง ตัวแปรตามคือ ความสำเร็จในการเรียนของนักเรียน

การกำหนดขอบเขตของงานวิจัยสามารถทำได้โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • ความสนใจของผู้วิจัย
  • ความรู้และทักษะของผู้วิจัย
  • ทรัพยากรที่มี
  • ระยะเวลาที่มี
  • ประเด็นปัญหาที่ต้องการศึกษา

การกำหนดขอบเขตของงานวิจัยอย่างเหมาะสมจะช่วยให้งานวิจัยมีความชัดเจน ครอบคลุม และดำเนินการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. รวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

สามารถทำได้โดยการค้นหาจากฐานข้อมูลออนไลน์ วารสารวิชาการ หนังสือ หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง โดยควรเลือกงานวิจัยที่มีคุณภาพ ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่เป็นที่ยอมรับ

การรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนสำคัญในการเขียนงานวิจัย เนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเข้าใจบริบทของงานวิจัย ประเด็นปัญหาที่ศึกษา และแนวทางการวิจัยที่ใช้ในการศึกษา

การรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถทำได้โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • ขอบเขตของงานวิจัย ขอบเขตของงานวิจัยจะช่วยกำหนดทิศทางในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  • คำสำคัญ คำสำคัญจะช่วยในการระบุงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  • แหล่งข้อมูล แหล่งข้อมูลที่สามารถเป็นแหล่งรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ฐานข้อมูลออนไลน์ วารสารวิชาการ หนังสือ หรือเว็บไซต์

วิธีการรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้

  • การค้นหาจากฐานข้อมูลออนไลน์ ฐานข้อมูลออนไลน์เป็นแหล่งรวบรวมงานวิจัยขนาดใหญ่ สามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น Google Scholar, Scopus, Web of Science
  • การค้นหาจากวารสารวิชาการ วารสารวิชาการเป็นแหล่งตีพิมพ์งานวิจัยอย่างเป็นทางการ มักมีเนื้อหาที่มีคุณภาพและได้รับการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวอย่างเช่น วารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัย
  • การค้นหาจากหนังสือ หนังสือมักเป็นแหล่งรวบรวมงานวิจัยที่ครอบคลุมและทันสมัย ตัวอย่างเช่น หนังสือตำราวิชาการหรือหนังสือรวบรวมบทความ
  • การค้นหาจากเว็บไซต์ เว็บไซต์เป็นแหล่งรวบรวมงานวิจัยที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน เว็บไซต์ของสถาบันการศึกษา หรือเว็บไซต์ของสมาคมวิชาชีพ

ในการรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรเลือกงานวิจัยที่มีคุณภาพ ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่เป็นที่ยอมรับ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • ชื่อผู้เขียน ผู้เขียนที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในด้านนั้น ๆ มักผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพ
  • วารสารที่ตีพิมพ์ วารสารวิชาการที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ มักตีพิมพ์งานวิจัยที่มีคุณภาพ
  • ปีที่ตีพิมพ์ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ล่าสุดมักสะท้อนถึงความรู้และความเข้าใจในปัจจุบัน
  • วิธีการวิจัย วิธีการวิจัยที่เชื่อถือได้จะช่วยให้ได้ผลการวิจัยที่มีคุณภาพ

เมื่อรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้แล้ว ควรจัดระเบียบเนื้อหาอย่างมีระบบ เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ง่าย โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ตามประเด็นสำคัญ จากนั้นจึงวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อระบุถึงแนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนงานวิจัยของตนเอง

3. วิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

วิเคราะห์เนื้อหาและประเด็นสำคัญในงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อระบุถึงแนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนงานวิจัยของตนเอง

การวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนสำคัญในการเขียนงานวิจัย เนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยสามารถระบุถึงแนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนงานวิจัยของตนเอง

การวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถทำได้โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • แนวคิด แนวคิดที่ปรากฏในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจบริบทของงานวิจัยและประเด็นปัญหาที่ศึกษา
  • ทฤษฎี ทฤษฎีที่ปรากฏในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยมีกรอบความคิดในการกำหนดสมมติฐานหรือคำถามการวิจัย
  • หลักฐานเชิงประจักษ์ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยประเมินความเป็นไปได้ของสมมติฐานหรือคำถามการวิจัย

ในการวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

  • วัตถุประสงค์ของการวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจว่างานวิจัยแต่ละชิ้นมุ่งศึกษาประเด็นใด
  • วิธีการวิจัย วิธีการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจว่างานวิจัยแต่ละชิ้นใช้วิธีการใดในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
  • ผลการวิจัย ผลการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจว่างานวิจัยแต่ละชิ้นพบอะไร

เมื่อวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยควรสรุปประเด็นสำคัญและข้อเสนอแนะจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดสมมติฐานหรือคำถามการวิจัย การออกแบบการวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูล

4. เขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีโครงสร้าง

การเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัยเชิงวิชาการ เนื่องจากเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยที่ศึกษาประเด็นเดียวกันหรือใกล้เคียงกับประเด็นที่วิจัย เพื่อให้ผู้วิจัยเข้าใจบริบทและแนวทางการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้การวิจัยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด

ในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรจัดระเบียบเนื้อหาอย่างมีโครงสร้าง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่าย โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ตามประเด็นสำคัญ ดังนี้

  1. บทนำ

บทนำควรกล่าวถึงความสำคัญของการทบทวนวรรณกรรม โดยอธิบายว่างานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญต่อการศึกษาอย่างไร และควรกล่าวถึงขอบเขตของการทบทวนวรรณกรรมว่าครอบคลุมงานวิจัยประเภทใดบ้าง

  1. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

หากงานวิจัยมีพื้นฐานอยู่บนทฤษฎีใด ๆ ควรกล่าวถึงทฤษฎีนั้นอย่างละเอียด โดยอธิบายแนวคิดหลักของทฤษฎี สมมติฐาน และข้อค้นพบที่สำคัญจากงานวิจัยที่ศึกษาทฤษฎีนั้น

  1. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ควรกล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด โดยอธิบายประเด็นหลักของงานวิจัย วิธีการวิจัย และผลการวิจัย โดยอาจแบ่งงานวิจัยที่เกี่ยวข้องออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ตามประเด็นสำคัญ

  1. สรุปและอภิปราย

ควรสรุปประเด็นสำคัญของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และอภิปรายถึงความสัมพันธ์ระหว่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของตนเอง

ตัวอย่างการจัดระเบียบเนื้อหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ความสำคัญของการทบทวนวรรณกรรม

ขอบเขตของการทบทวนวรรณกรรม

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

แนวคิดหลักของทฤษฎี

สมมติฐานของทฤษฎี

ข้อค้นพบที่สำคัญจากงานวิจัยที่ศึกษาทฤษฎี

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ประเด็นหลักของงานวิจัย

วิธีการวิจัย

ผลการวิจัย

สรุปและอภิปราย

ประเด็นสำคัญของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ความสัมพันธ์ระหว่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของตนเอง

การจัดระเบียบเนื้อหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีโครงสร้างจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัยและนำไปสู่การค้นพบใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

5. อ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง

การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานวิจัยเชิงวิชาการ เนื่องจากเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบและครอบคลุม ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถติดตามข้อมูลอ้างอิงเพื่อศึกษาเพิ่มเติมได้

การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องควรทำทั้งภายในเนื้อหาและท้ายเล่ม โดยภายในเนื้อหาควรระบุชื่อผู้แต่งและปีพิมพ์ของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยอาจระบุเลขหน้าด้วยก็ได้ ตัวอย่างเช่น

ตามที่ (สมชาย นามสมมติ, 2565) ได้กล่าวไว้ว่า…….

…ผลการศึกษาของ (สมหญิง นามสมมติ, 2564) พบว่า…

ส่วนการอ้างอิงท้ายเล่มนั้น ควรทำตามรูปแบบการอ้างอิงที่สถาบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด โดยรูปแบบการอ้างอิงที่นิยมใช้ในประเทศไทย ได้แก่

  • รูปแบบ APA (American Psychological Association)
  • รูปแบบ MLA (Modern Language Association)
  • รูปแบบ Chicago Manual of Style

ตัวอย่างการอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในรูปแบบ APA

หนังสือ

สมชาย นามสมมติ. (2565). หัวข้อหนังสือ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง.

บทความในหนังสือ

สมหญิง นามสมมติ. (2564). ชื่อบทความ. ใน สมชาย นามสมมติ (บรรณาธิการ), หนังสือรวมบทความ (หน้า 1-20). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง.

บทความในวารสาร

สมชาย นามสมมติ. (2565). ชื่อบทความ. วารสารวิชาการแห่งหนึ่ง, 10(2), 1-10.

วิทยานิพนธ์

สมชาย นามสมมติ. (2565). หัวข้อวิทยานิพนธ์. วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก, มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง.

รายงานวิจัย

สมชาย นามสมมติ. (2565). หัวข้อรายงานวิจัย. รายงานวิจัย, มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง.

เว็บไซต์

สมชาย นามสมมติ. (2565, 1 มกราคม). ชื่อเว็บไซต์. สืบค้นจาก …..

การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องจะช่วยให้งานวิจัยมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและวงการวิชาการ

ตัวอย่างการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ

สมมติว่าผู้วิจัยสนใจศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้วิจัยจึงจำเป็นต้องศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อระบุถึงแนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนงานวิจัยของตนเอง

ในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจเริ่มต้นจากการกำหนดขอบเขตของงานวิจัยให้ชัดเจน โดยระบุได้ว่างานวิจัยที่เกี่ยวข้องควรเป็นงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย

จากนั้น ผู้วิจัยอาจค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูลออนไลน์ เช่น Google Scholar หรือ Scopus โดยระบุคำสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียน” “นักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย” เป็นต้น

เมื่อรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้แล้ว ผู้วิจัยควรวิเคราะห์เนื้อหาและประเด็นสำคัญในงานวิจัยเหล่านั้น เพื่อระบุถึงแนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนงานวิจัยของตนเอง

ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่เกี่ยวข้องบางชิ้นอาจพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียน ได้แก่ ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้านโรงเรียน และปัจจัยด้านตัวนักเรียนเอง

เมื่อวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยจึงสามารถเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีโครงสร้าง โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ตามประเด็นสำคัญ เช่น

  • ปัจจัยด้านครอบครัวที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียน
  • ปัจจัยด้านโรงเรียนที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียน
  • ปัจจัยด้านตัวนักเรียนเองที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียน

ในการอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรระบุข้อมูลของผู้เขียน ชื่อเรื่อง วารสาร หรือหนังสือที่ตีพิมพ์ และปีที่ตีพิมพ์อย่างถูกต้อง เช่น

  • สมศรี ศรีสุพรรณ. (2558). ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, 19(2), 156-169.

ตัวอย่าง วิธีการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิผล ข้างต้น แสดงให้เห็นถึงวิธีการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตของงานวิจัยให้ชัดเจน รวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีคุณภาพ วิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ และเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีโครงสร้างและอ้างอิงอย่างถูกต้อง การเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับจากผู้อ่าน