คลังเก็บป้ายกำกับ: งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของงานวิจัยทุกชิ้น โดยเป็นส่วนที่กล่าวถึงงานวิจัยอื่น ๆ ที่เคยศึกษาในประเด็นหรือปัญหาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน บทความนี้แนะนำ ตัวอย่างการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงองค์ความรู้และความเข้าใจที่มีต่อประเด็นหรือปัญหานั้นในปัจจุบัน รวมไปถึงข้อจำกัดหรือช่องว่างของความรู้ที่งานวิจัยชิ้นใหม่จะช่วยเติมเต็มในงานวิจัย

ในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาประเด็นหรือปัญหาที่จะศึกษาว่ามีความเกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงกับงานวิจัยใดบ้าง โดยอาจใช้วิธีค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องผ่านฐานข้อมูลออนไลน์ เช่น Google Scholar หรือ ThaiJo ซึ่งเป็นฐานข้อมูลงานวิจัยไทย จากนั้นจึงคัดเลือกงานวิจัยที่ตรงประเด็นหรือปัญหาที่จะศึกษา โดยพิจารณาจากหัวข้องานวิจัย ผู้วิจัย วิธีการวิจัย ผลการวิจัย และข้อจำกัดของงานวิจัย

เมื่อได้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยควรอ่านและทำความเข้าใจอย่างละเอียด โดยพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

  • แนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัย
  • ตัวแปรที่ศึกษา
  • วิธีการศึกษา
  • ผลการวิจัย
  • ข้อจำกัดของงานวิจัย

จากการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าว ผู้วิจัยควรสรุปใจความสำคัญจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแต่ละชิ้น โดยเน้นประเด็นที่ตรงกับงานวิจัยชิ้นใหม่ของตน จากนั้นจึงนำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงและข้อแตกต่างระหว่างงานวิจัยต่าง ๆ ที่ได้ศึกษา

ตัวอย่างการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทที่ 2 : งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

2.1 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในการวิจัยนี้มี 2 แนวคิดหลักๆ คือ

  • แนวคิดเกี่ยวกับความเครียด หมายถึง ความรู้สึกทางอารมณ์อันเป็นผลมาจากความกดดันหรือความท้าทายต่างๆ ที่บุคคลเผชิญอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจของบุคคลได้
  • แนวคิดเกี่ยวกับกลไกการเผชิญกับความเครียด หมายถึง วิธีการที่บุคคลใช้ในการจัดการกับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับความเครียดของบุคคลได้

จากแนวคิดทั้งสองนี้ พบว่ากลไกการเผชิญกับความเครียดมีบทบาทสำคัญในการลดระดับความเครียดของบุคคล โดยกลไกการเผชิญกับความเครียดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

  • กลไกการเผชิญกับความเครียดแบบเชิงบวก หมายถึง วิธีการที่บุคคลใช้ในการจัดการกับความเครียดอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับความเครียดของบุคคลในทางบวก เช่น การพูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว การผ่อนคลาย การแสวงหาความสนับสนุนทางสังคม เป็นต้น
  • กลไกการเผชิญกับความเครียดแบบเชิงลบ หมายถึง วิธีการที่บุคคลใช้ในการจัดการกับความเครียดอย่างก้าวร้าวหรือทำลายล้าง ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับความเครียดของบุคคลในทางลบ เช่น การดื่มสุรา การเสพสารเสพติด การทำร้ายตัวเอง เป็นต้น

2.2 ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า กลไกการเผชิญกับความเครียดมีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดของบุคคล โดยกลไกการเผชิญกับความเครียดแบบเชิงบวกมีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดที่ต่ำกว่ากลไกการเผชิญกับความเครียดแบบเชิงลบ

ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ [ชื่อผู้วิจัย] (ปี พ.ศ. [ปี]) พบว่า นักศึกษาที่เผชิญกับความเครียดจากการเรียน มีระดับความเครียดที่ต่ำกว่านักศึกษาที่เผชิญกับความเครียดจากการเรียน แต่ใช้กลไกการเผชิญกับความเครียดแบบเชิงลบ

งานวิจัยของ [ชื่อผู้วิจัย] (ปี พ.ศ. [ปี]) พบว่า พนักงานที่เผชิญกับความเครียดจากการทำงาน มีระดับความเครียดที่ต่ำกว่าพนักงานที่เผชิญกับความเครียดจากการทำงาน แต่ใช้กลไกการเผชิญกับความเครียดแบบเชิงบวก

จากผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้น พบว่ากลไกการเผชิญกับความเครียดมีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดของบุคคล โดยกลไกการเผชิญกับความเครียดแบบเชิงบวกมีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดที่ต่ำกว่ากลไกการเผชิญกับความเครียดแบบเชิงลบ

2.3 ช่องว่างของความรู้

จากผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้น พบว่ากลไกการเผชิญกับความเครียดมีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดของบุคคล อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีงานวิจัยที่ศึกษาถึงกลไกการเผชิญกับความเครียดของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่เผชิญกับความเครียดจากการเรียนและครอบครัว

ดังนั้น งานวิจัยชิ้นนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลไกการเผชิญกับความเครียดของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่เผชิญกับความเครียดจากการเรียนและครอบครัว และความสัมพันธ์ระหว่างกลไกการเผชิญกับความเครียดกับระดับความเครียดของนักเรียน

ตัวอย่างการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้นแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนและวิธีการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน โดยผู้วิจัยควรพิจารณาประเด็นต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสมบูรณ์และเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยชิ้นใหม่ของตน

ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานวิจัยใหม่ เพราะช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าใจความก้าวหน้าของงานวิจัยในสาขานั้น ๆ ได้ รวมทั้งสามารถหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อนกับงานวิจัยเดิม ๆ ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

1. วัตถุประสงค์และขอบเขตของงานวิจัย

วัตถุประสงค์และขอบเขตของงานวิจัย เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเริ่มต้นงานวิจัย วัตถุประสงค์ของงานวิจัยคือการกำหนดเป้าหมายหรือสิ่งที่ต้องการจะศึกษา ส่วนขอบเขตของงานวิจัยคือการกำหนดขอบเขตของการศึกษาว่าครอบคลุมอะไรบ้าง

วัตถุประสงค์ของงานวิจัย ควรระบุให้ชัดเจนและครอบคลุมประเด็นที่ต้องการศึกษา โดยควรระบุให้ชัดเจนว่าต้องการจะศึกษาอะไร ต้องการจะหาคำตอบอะไร และต้องการจะพิสูจน์อะไร วัตถุประสงค์ของงานวิจัยที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  • ชัดเจน (Clear) เข้าใจง่ายและสามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้
  • เฉพาะเจาะจง (Specific) ระบุประเด็นที่ต้องการศึกษาอย่างชัดเจน
  • วัดได้ (Measurable) สามารถวัดหรือประเมินผลได้
  • บรรลุได้ (Achievable) เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
  • เกี่ยวข้องกัน (Relevant) สอดคล้องกับปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการศึกษา
  • ทันเวลา (Timely) สามารถทำได้ในเวลาที่กำหนด

ขอบเขตของงานวิจัย ควรระบุให้ชัดเจนว่าการศึกษาครอบคลุมอะไรบ้าง โดยควรระบุปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น ประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตัวแปร สถานที่ ระยะเวลา และแหล่งข้อมูล ขอบเขตของงานวิจัยที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  • ครอบคลุม (Comprehensive) ครอบคลุมประเด็นที่ต้องการศึกษาอย่างครบถ้วน
  • สมเหตุสมผล (Reasonable) เหมาะสมกับทรัพยากรและระยะเวลาที่มี
  • เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ (Feasible) สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ

การกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของงานวิจัยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของงานวิจัย เพราะจะช่วยให้นักวิจัยสามารถจัดทำงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงประเด็น โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดระเบียบวิธีวิจัยและดำเนินการวิจัยได้อย่างเหมาะสม และการกำหนดขอบเขตของงานวิจัยที่ชัดเจนจะช่วยให้นักวิจัยสามารถระบุประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตัวแปร สถานที่ ระยะเวลา และแหล่งข้อมูลได้อย่างเหมาะสม

ตัวอย่างการกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของงานวิจัย

  • วัตถุประสงค์ของการศึกษา: ศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมการอบรมพนักงานขาย
  • ขอบเขตของการศึกษา: ศึกษาพนักงานขายของบริษัทแห่งหนึ่ง โดยใช้โปรแกรมการอบรมแบบออนไลน์ เป็นเวลา 6 เดือน
  • วัตถุประสงค์ของการศึกษา: ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางเศรษฐกิจและอัตราการเกิดอาชญากรรม
  • ขอบเขตของการศึกษา: ศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจและอัตราการเกิดอาชญากรรมในกรุงเทพมหานคร ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • วัตถุประสงค์ของการศึกษา: พัฒนาโมเดลการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อพยากรณ์ราคาหุ้น
  • ขอบเขตของการศึกษา: ศึกษาโมเดลการเรียนรู้ของเครื่องประเภทต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูลราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ของงานวิจัยแต่ละงานมีความแตกต่างกัน โดยวัตถุประสงค์ของงานวิจัยจะกำหนดเป้าหมายหรือสิ่งที่ต้องการจะศึกษา ส่วนขอบเขตของงานวิจัยจะกำหนดขอบเขตของการศึกษาว่าครอบคลุมอะไรบ้าง

2. แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิด

แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิด เป็นองค์ประกอบสำคัญในการวิจัย เพราะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดกรอบความคิดในการวิจัยและดำเนินการวิจัยได้อย่างมีทิศทาง

แนวคิด หมายถึง ความคิดหรือความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ แนวคิดอาจมาจากประสบการณ์ส่วนตัว การศึกษา หรือทฤษฎี

ทฤษฎี หมายถึง กรอบความคิดที่อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผลและครอบคลุม ทฤษฎีมักสร้างขึ้นจากแนวคิดหลาย ๆ แนวคิด

กรอบแนวคิด หมายถึง การนำแนวคิดและทฤษฎีมาเชื่อมโยงกันเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ กรอบแนวคิดช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดตัวแปรที่ต้องการศึกษาและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเหล่านั้นได้

ความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิด

แนวคิดเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของทฤษฎี โดยแนวคิดหลาย ๆ แนวคิดสามารถนำมาเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างเป็นทฤษฎีได้ ทฤษฎีสามารถนำมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ และสร้างเป็นกรอบแนวคิดได้ กรอบแนวคิดเป็นการนำแนวคิดและทฤษฎีมาเชื่อมโยงกันเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยกรอบแนวคิดจะระบุตัวแปรที่ต้องการศึกษาและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเหล่านั้น

ตัวอย่างแนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิด

  • แนวคิด: การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
  • ทฤษฎี: ทฤษฎีการเรียนรู้แบบบันไดเลื่อน (Ladder Learning Theory)
  • กรอบแนวคิด: กรอบแนวคิดการเรียนรู้แบบบันไดเลื่อน (Ladder Learning Theory) อธิบายว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากระดับง่ายไปสู่ระดับยาก โดยการเรียนรู้ในแต่ละระดับจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประสบการณ์ ความสามารถ และแรงจูงใจ

การประยุกต์ใช้แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิดในงานวิจัย สามารถใช้ในงานวิจัยได้หลายวิธี เช่น

  • ใช้แนวคิดและทฤษฎีเพื่อกำหนดกรอบความคิดในการวิจัย
  • ใช้แนวคิดและทฤษฎีเพื่อกำหนดตัวแปรที่ต้องการศึกษาและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเหล่านั้น
  • ใช้แนวคิดและทฤษฎีเพื่อวิเคราะห์ผลการวิจัย

โดยนักวิจัยควรพิจารณาเลือกใช้แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิดที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และขอบเขตของงานวิจัย

3. ระเบียบวิธีวิจัย

ระเบียบวิธีวิจัย หมายถึง ขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยตั้งแต่การวางแผน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการนำเสนอผลการวิจัย ระเบียบวิธีวิจัยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของงานวิจัย เพราะจะช่วยให้นักวิจัยสามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบของระเบียบวิธีวิจัย ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้

  • ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง หมายถึง บุคคลหรือสิ่งของต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษา
  • ตัวแปร หมายถึง คุณสมบัติหรือลักษณะต่าง ๆ ของประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการศึกษา
  • วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล หมายถึง วิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรที่ต้องการศึกษา
  • เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล หมายถึง อุปกรณ์หรือวิธีการที่ใช้รวบรวมข้อมูล
  • การวิเคราะห์ข้อมูล หมายถึง กระบวนการนำข้อมูลมาประมวลผลเพื่อหาคำตอบของปัญหาการวิจัย
  • การนำเสนอผลการวิจัย หมายถึง การนำเสนอผลการวิจัยในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ได้

ประเภทของระเบียบวิธีวิจัย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามลักษณะของข้อมูลที่ต้องการศึกษา ได้แก่

  • ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ หมายถึง ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น ข้อมูลตัวเลข ข้อมูลสถิติ เป็นต้น
  • ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ หมายถึง ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น ข้อมูลคำพูด ข้อมูลความคิดเห็น เป็นต้น

ตัวอย่างระเบียบวิธีวิจัย

  • ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เช่น การทดลอง การสำรวจ การวิจัยเชิงสังเกตการณ์
  • ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น การสัมภาษณ์เชิงลึก การวิจัยเชิงมีส่วนร่วม

การเลือกระเบียบวิธีวิจัย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และขอบเขตของงานวิจัย โดยนักวิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • ลักษณะของข้อมูลที่ต้องการศึกษา
  • ตัวแปรที่ต้องการศึกษา
  • ขอบเขตของการศึกษา
  • ทรัพยากรที่มี

โดยนักวิจัยควรเลือกใช้ระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และขอบเขตของงานวิจัย เพื่อให้สามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลตามที่ต้องการ

4. ผลการวิจัย

ผลการวิจัย หมายถึง ข้อมูลหรือข้อสรุปที่ได้จากการวิจัย ผลการวิจัยที่ดีควรมีคุณภาพและเชื่อถือได้ โดยนักวิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • ความถูกต้อง ผลการวิจัยควรถูกต้องตามความเป็นจริง
  • ความน่าเชื่อถือ ผลการวิจัยควรสามารถเชื่อถือได้
  • ความสมบูรณ์ ผลการวิจัยควรครอบคลุมประเด็นที่ต้องการศึกษาอย่างครบถ้วน
  • ความชัดเจน ผลการวิจัยควรเข้าใจง่ายและสามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้

การนำเสนอผลการวิจัย

ผลการวิจัยสามารถนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

  • การเขียนรายงานวิจัย เป็นรูปแบบการนำเสนอผลการวิจัยที่พบได้บ่อยที่สุด โดยรายงานวิจัยควรมีการระบุวัตถุประสงค์และขอบเขตของงานวิจัย ระเบียบวิธีวิจัย ผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ
  • การนำเสนอผลงานวิจัย เป็นรูปแบบการนำเสนอผลการวิจัยต่อสาธารณชน โดยนักวิจัยอาจนำเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบของบทความวิชาการ การนำเสนอผลงานในการประชุมวิชาการ หรือการแสดงผลงานในรูปแบบอื่น ๆ

ข้อดีและข้อเสียของผลการวิจัย

ผลการวิจัยมีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้

ข้อดี

  • ผลการวิจัยสามารถช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
  • ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
  • ผลการวิจัยสามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยี

ข้อเสีย

  • ผลการวิจัยอาจไม่ถูกต้องเสมอไป เนื่องจากอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การออกแบบการวิจัยที่ไม่ดี การเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง การวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
  • ผลการวิจัยอาจไม่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ เนื่องจากอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น บริบทของการศึกษา ลักษณะของประชากร หรือตัวแปรที่ต้องการศึกษา

ตัวอย่างผลการวิจัย

  • ผลการวิจัยพบว่าเด็กที่รับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้เป็นประจำจะมีสุขภาพที่ดีกว่าเด็กที่รับประทานอาหารที่ไม่มีผักและผลไม้เป็นประจำ
  • ผลการวิจัยพบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ผลการวิจัยพบว่าการอ่านหนังสือเป็นประจำอาจช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าผลการวิจัยสามารถช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้

5. ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะ หมายถึง คำแนะนำหรือความคิดเห็นที่เสนอให้ผู้อื่นพิจารณานำไปปฏิบัติ ข้อเสนอแนะในงานวิจัยมักเสนอเพื่อพัฒนางานวิจัยให้มีคุณภาพและเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะในงานวิจัยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามวัตถุประสงค์ในการเสนอแนะ ได้แก่

  • ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ หมายถึง ข้อเสนอแนะที่เสนอเพื่อพัฒนางานวิจัยในด้านวิชาการ เช่น เสนอให้มีการปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัย เสนอให้มีการใช้เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความแม่นยำมากขึ้น เป็นต้น
  • ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ หมายถึง ข้อเสนอแนะที่เสนอเพื่อพัฒนางานวิจัยในด้านการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ เช่น เสนอให้มีการเผยแพร่ผลการวิจัยให้กว้างขวางมากขึ้น เสนอให้มีการนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ เป็นต้น

ตัวอย่างข้อเสนอแนะ

  • ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ เช่น
    • ควรมีการปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัยให้มีความรอบคอบมากขึ้น
    • ควรใช้เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความแม่นยำมากขึ้น
    • ควรศึกษาปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อผลการวิจัย
  • ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ เช่น
    • ควรเผยแพร่ผลการวิจัยให้กว้างขวางมากขึ้น
    • ควรนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ
    • ควรศึกษาผลระยะยาวของผลการวิจัย

ความสำคัญของข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานวิจัย เพราะจะช่วยให้งานวิจัยมีคุณภาพและเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น โดยข้อเสนอแนะสามารถช่วยพัฒนางานวิจัยในด้านต่าง ๆ เช่น

  • ช่วยให้งานวิจัยมีความถูกต้องและเชื่อถือได้มากขึ้น
  • ช่วยให้งานวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น
  • ช่วยให้งานวิจัยสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีได้

การเขียนข้อเสนอแนะ

การเขียนข้อเสนอแนะควรมีความชัดเจน กระชับ และตรงประเด็น โดยควรระบุข้อเสนอแนะอย่างชัดเจนและอธิบายเหตุผลในการเสนอแนะด้วย โดยข้อเสนอแนะสามารถเขียนในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

  • การเขียนเป็นข้อความ
  • การเขียนเป็นรายการ
  • การเขียนเป็นแผนภูมิ

โดยนักวิจัยควรพิจารณารูปแบบการเขียนข้อเสนอแนะที่เหมาะสมกับเนื้อหาของงานวิจัย

ตัวอย่างประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • การศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
    • วัตถุประสงค์ของการศึกษา: พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
    • ขอบเขตของการศึกษา: การศึกษาในมนุษย์
    • แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิด: แนวคิดภูมิคุ้มกันบำบัด
    • ระเบียบวิธีวิจัย: การทดลองทางคลินิก
    • ผลการวิจัย: วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
    • ข้อเสนอแนะ: ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
  • การศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
    • วัตถุประสงค์ของการศึกษา: พัฒนาระบบ AI ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และตัดสินใจได้เอง
    • ขอบเขตของการศึกษา: การศึกษาในระบบคอมพิวเตอร์
    • แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิด: แนวคิดการเรียนรู้ของเครื่อง
    • ระเบียบวิธีวิจัย: การทดลองทางคอมพิวเตอร์
    • ผลการวิจัย: ระบบ AI สามารถสร้างแบบจำลองการเรียนรู้ได้
    • ข้อเสนอแนะ: ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาระบบ AI ที่มีความสามารถในการตัดสินใจได้เอง

การพิจารณา ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อย่างรอบคอบจะช่วยให้นักวิจัยสามารถจัดทำงานวิจัยได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในงานวิจัย มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำวิจัย เพราะจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย รวมถึงทฤษฎี แนวคิด ตัวแปร และวิธีการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย กำหนดตัวแปรและขอบเขตการวิจัย กำหนดวิธีการวิจัย และตีความผลการวิจัย

ประโยชน์ของการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในงานวิจัย มีดังนี้

  • ช่วยให้เข้าใจทฤษฎี แนวคิด ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิจัย

การวิจัยที่ดีควรมีพื้นฐานอยู่บนทฤษฎีหรือแนวคิดที่ชัดเจน การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงทฤษฎีหรือแนวคิดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยและใช้ในการตีความผลการวิจัย

  • ช่วยป้องกันการทำวิจัยซ้ำซ้อนกับคนอื่นๆที่วิจัยไปแล้ว

การวิจัยซ้ำซ้อนเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรและเวลา ผู้วิจัยควรศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องก่อนเริ่มทำวิจัย เพื่อตรวจสอบว่ามีผู้วิจัยคนอื่นได้ทำวิจัยในประเด็นเดียวกันไปแล้วหรือไม่ หากพบว่ามีผู้วิจัยอื่นได้ทำวิจัยในประเด็นเดียวกันไปแล้ว ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าผลการวิจัยดังกล่าวมีความสอดคล้องกับประเด็นวิจัยของตนหรือไม่ หากพบว่าผลการวิจัยไม่สอดคล้องกับประเด็นวิจัยของตน ผู้วิจัยอาจต้องปรับเปลี่ยนประเด็นวิจัยหรือวิธีการวิจัย

  • ช่วยในการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย

กรอบแนวคิดการวิจัยเป็นกรอบความคิดที่ใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงกรอบแนวคิดการวิจัยของงานวิจัยอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยของตนเอง

  • ช่วยในการกำหนดตัวแปรและขอบเขตการวิจัย

ตัวแปรและขอบเขตการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดทิศทางของงานวิจัย การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงตัวแปรและขอบเขตการวิจัยของงานวิจัยอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดตัวแปรและขอบเขตการวิจัยของตนเอง

  • ช่วยในการกำหนดวิธีการวิจัย

วิธีการวิจัยเป็นขั้นตอนในการดำเนินการวิจัย การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงวิธีการวิจัยของงานวิจัยอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดวิธีการวิจัยของตนเอง

  • ช่วยในการตีความผลการวิจัย

ผลการวิจัยเป็นข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการวิจัย การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงผลการวิจัยของงานวิจัยอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และตีความผลการวิจัยของตนเอง

การทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในงานวิจัย ควรพิจารณาประเด็นสำคัญๆ ดังนี้

  • แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

ผู้วิจัยควรศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อความเข้าใจในประเด็นที่วิจัย

  • ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง

ผู้วิจัยควรศึกษาตัวแปรที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดตัวแปรและขอบเขตการวิจัย

  • วิธีการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ผู้วิจัยควรศึกษาวิธีการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดวิธีการวิจัยของตนเอง

  • ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ผู้วิจัยควรศึกษาผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์และตีความผลการวิจัยของตนเอง

การทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในงานวิจัย ควรดำเนินการอย่างรอบคอบและละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการทำวิจัย

ตัวอย่างประโยชน์ของการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในงานวิจัย ดังนี้

  • การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทราบว่ามีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ตนสนใจศึกษาหรือไม่ หากมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยสามารถศึกษาผลการวิจัยเหล่านั้น เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย กำหนดตัวแปรและขอบเขตการวิจัย และกำหนดวิธีการวิจัยของตนเอง
  • การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทราบว่ามีงานวิจัยใดบ้างที่ศึกษาตัวแปรที่เกี่ยวข้อง หากมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยสามารถศึกษาผลการวิจัยเหล่านั้น เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในการกำหนดตัวแปรและขอบเขตการวิจัยของตนเอง
  • การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทราบถึงข้อดีและข้อจำกัดของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หากทราบข้อดีและข้อจำกัดของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยสามารถนำมาพิจารณาในการปรับปรุงงานวิจัยของตนเองให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
  • การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทราบว่ามีงานวิจัยใดบ้างที่ศึกษาประเด็นที่ตนสนใจศึกษาในบริบทอื่น หากมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยสามารถศึกษาผลการวิจัยเหล่านั้น เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในการขยายผลการวิจัยของตนเองไปยังบริบทอื่น

สรุปได้ว่า การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในงานวิจัย มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำวิจัย เพราะจะช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย รวมถึงทฤษฎี แนวคิด ตัวแปร และวิธีการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย กำหนดตัวแปรและขอบเขตการวิจัย กำหนดวิธีการวิจัย และตีความผลการวิจัย

ขั้นตอนการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่องานวิจัยทุกประเภท เราควรทราบ ขั้นตอนการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจถึงองค์ความรู้และผลการวิจัยในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือปัญหาวิจัยที่ต้องการศึกษา ข้อมูลจากการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถกำหนดแนวทางและวิธีการดำเนินการวิจัยของตนเองได้อย่างเหมาะสม

ขั้นตอนการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้

  1. กำหนดขอบเขตการวิจัย

ขอบเขตการวิจัย (Delimitation) หมายถึง การจำกัดหรือกำหนดขอบเขตให้แก่การวิจัย ไม่ควรนำไปปนกับข้อจำกัดของการวิจัย (Limitation) ซึ่งมักจะกล่าวถึงในตอนท้ายผลการกำหนดขอบเขต การวิจัยนั้น อาจกำหนดได้หลายอย่าง เช่น

  • ขอบเขตที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่ศึกษา
  • ขอบเขตที่เกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่าง
  • ขอบเขตที่เกี่ยวกับเวลา
  • ขอบเขตที่เกี่ยวกับสถานที่

การกำหนดขอบเขตการวิจัยมีความสำคัญต่องานวิจัย เนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยสามารถระบุได้ว่าการวิจัยที่จะศึกษามีขอบข่ายกว้างขวางเพียงใด และควรมุ่งเน้นไปที่ประเด็นใดบ้าง การกำหนดขอบเขตการวิจัยที่ชัดเจนจะช่วยทำให้ผู้วิจัยสามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเวลาและทรัพยากร

ในการกำหนดขอบเขตการวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • วัตถุประสงค์ของการวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นตัวกำหนดขอบเขตของเนื้อหาที่ควรศึกษา ผู้วิจัยควรพิจารณาวัตถุประสงค์ของการวิจัยอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตของเนื้อหาที่ศึกษาได้อย่างเหมาะสม
  • ความเป็นไปได้ในการดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อความเป็นไปได้ในการดำเนินการวิจัย เช่น ระยะเวลาในการวิจัย งบประมาณในการวิจัย เครื่องมือและอุปกรณ์ในการวิจัย เป็นต้น
  • ความสำคัญและประโยชน์ของการวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาความสำคัญและประโยชน์ของการวิจัย เพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตของเนื้อหาที่ศึกษาได้อย่างเหมาะสม
  1. ค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเขียนงานวิจัย เนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจถึงองค์ความรู้และผลการวิจัยในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือปัญหาวิจัยที่ต้องการศึกษา ข้อมูลจากการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถกำหนดแนวทางและวิธีการดำเนินการวิจัยของตนเองได้อย่างเหมาะสม

ในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยสามารถค้นหาได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลออนไลน์ วารสารวิชาการ หนังสือวิชาการ เป็นต้น

ในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูลออนไลน์ ผู้วิจัยควรใช้คำสำคัญ (keywords) หรือวลีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือปัญหาวิจัยที่ต้องการศึกษาในการค้นหา เช่น ในกรณีนี้ ผู้วิจัยอาจใช้คำสำคัญ เช่น “เทคโนโลยีดิจิทัล”, “การศึกษา”, “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน”, “พฤติกรรมการเรียนรู้”, และ “ทัศนคติต่อการเรียน” ในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังสามารถใช้เครื่องมือช่วยค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น Google Scholar หรือ Web of Science เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

ในการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ความทันสมัยของงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาความทันสมัยของงานวิจัย โดยควรเลือกงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในช่วง 5-10 ปี ที่ผ่านมา
  • ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของงานวิจัย โดยพิจารณาจากแหล่งข้อมูลตีพิมพ์ของงานวิจัยนั้นๆ เช่น ชื่อวารสารวิชาการ สำนักพิมพ์ เป็นต้น
  • ความเหมาะสมของงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาความเหมาะสมของงานวิจัย โดยพิจารณาจากขอบเขตการวิจัยของงานวิจัยนั้นๆ ว่าสอดคล้องกับขอบเขตการวิจัยของตนเองหรือไม่

ผู้วิจัยควรบันทึกข้อมูลสำคัญของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลผู้วิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย ตัวแปรในการวิจัย วิธีการศึกษา ผลการศึกษา และข้อเสนอแนะจากงานวิจัย เพื่อใช้ในการอ้างอิงในงานวิจัยของตนเอง

  1. วิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเขียนงานวิจัย เนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และวิธีการดำเนินการวิจัยของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลการศึกษาที่ได้ และข้อเสนอแนะจากงานวิจัย

ในการวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังนี้

  • วัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาวัตถุประสงค์ของการวิจัยของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจว่างานวิจัยนั้นๆ มุ่งศึกษาประเด็นใด
  • ตัวแปรในการวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาตัวแปรในการวิจัยของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจว่างานวิจัยนั้นๆ ใช้ตัวแปรใดในการวัดผล
  • วิธีการศึกษา ผู้วิจัยควรพิจารณาวิธีการศึกษาของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจว่างานวิจัยนั้นๆ ใช้วิธีการใดในการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล
  • ผลการศึกษา ผู้วิจัยควรพิจารณาผลการศึกษาของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจว่างานวิจัยนั้นๆ พบอะไรบ้าง
  • ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาข้อเสนอแนะจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาพิจารณาในการกำหนดแนวทางและวิธีการดำเนินการวิจัยของตนเอง
  1. สรุปประเด็นสำคัญ


การสรุปประเด็นสำคัญ (Key Points Summary) คือการสรุปสาระสำคัญหรือใจความสำคัญของเรื่องที่ได้ฟังหรือได้อ่าน เป็นการจับใจความสำคัญหรือประเด็นหลักของเรื่องที่ได้ศึกษามา เพื่อความเข้าใจที่รวดเร็วและง่ายขึ้น

การสรุปประเด็นสำคัญสามารถทำได้โดยพิจารณาจากประเด็นต่อไปนี้

  • หัวข้อเรื่อง หัวข้อเรื่องจะช่วยให้สามารถระบุได้ว่าเรื่องนั้นๆ เกี่ยวกับอะไร
  • วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์จะช่วยให้สามารถระบุได้ว่าผู้เขียนหรือผู้พูดต้องการสื่ออะไร
  • เนื้อหา เนื้อหาจะช่วยให้สามารถระบุได้ว่ามีประเด็นสำคัญอะไรบ้าง

การสรุปประเด็นสำคัญสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  • การสรุปประเด็นสำคัญเป็นข้อความสั้นๆ
  • การสรุปประเด็นสำคัญเป็นแผนภูมิหรือกราฟ
  • การสรุปประเด็นสำคัญเป็นตาราง

ในการสรุปประเด็นสำคัญ ควรพิจารณาความเหมาะสมกับลักษณะของเรื่องที่ได้ศึกษามา

  1. เชื่อมโยงกับงานวิจัยของตนเอง

เมื่อสรุปประเด็นสำคัญจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยจะต้องเชื่อมโยงประเด็นเหล่านั้นกับงานวิจัยของตนเอง โดยอธิบายว่างานวิจัยของตนเองมีจุดเด่นหรือจุดแตกต่างจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างไร

ในการเชื่อมโยงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรอธิบายว่างานวิจัยของตนเองมีจุดเด่นหรือจุดแตกต่างจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างไร เช่น งานวิจัยของตนเองมีขอบเขตการวิจัยที่กว้างกว่า งานวิจัยของตนเองใช้วิธีการดำเนินการวิจัยที่ใหม่กว่า หรืองานวิจัยของตนเองให้ผลการศึกษาที่แตกต่างไปจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

สมมติว่าผู้วิจัยสนใจทำวิจัยเกี่ยวกับ “ผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย” ในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจเขียนบทความโดยมีโครงสร้างดังนี้

บทนำ

ในบทนำ ผู้วิจัยควรกล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัยที่ต้องการศึกษา โดยอาจกล่าวถึงปัญหาหรือข้อขัดแย้งทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจัย หรือกล่าวถึงความสำคัญของหัวข้อวิจัยที่มีต่อสังคมหรือชุมชน

ขอบเขตการวิจัย

ในบทนำ ผู้วิจัยควรกำหนดขอบเขตการวิจัย โดยอาจระบุถึงตัวแปรในการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ระยะเวลาในการวิจัย และสถานที่ในการวิจัย

การทบทวนวรรณกรรม

ในบทนี้ ผู้วิจัยควรนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยอาจจัดเรียงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามลำดับเวลาหรือตามลำดับความสำคัญ โดยพิจารณาจากประเด็นต่างๆ เช่น วัตถุประสงค์ของการวิจัย ตัวแปรในการวิจัย วิธีการศึกษา ผลการศึกษา และข้อเสนอแนะจากงานวิจัย

ในการนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรสรุปประเด็นสำคัญจากงานวิจัยเหล่านั้น โดยอาจสรุปในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ หรือข้อความ เป็นต้น

การอภิปราย

ในบทนี้ ผู้วิจัยควรอภิปรายถึงประเด็นต่างๆ ที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรม โดยอาจอภิปรายถึงข้อจำกัดของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประเด็นที่ยังไม่ได้รับการตอบคำถาม และข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยในอนาคต

บทสรุป

ในบทสรุป ผู้วิจัยควรสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรม โดยอาจสรุปประเด็นที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย หรือประเด็นที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงหรือข้อเสนอแนะใหม่ๆ

จากตัวอย่างการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้น ผู้วิจัยควรปรับโครงสร้างของบทความให้เหมาะสมกับหัวข้อวิจัยของตนเอง โดยคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น

เทคนิคการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Related Literature) เป็นบทหนึ่งในรายงานวิจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ศึกษา เพื่อแสดงให้เห็นว่างานวิจัยนั้นมีความสอดคล้องกับความรู้เดิมที่มีอยู่ เทคนิคการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของงานวิจัยและเห็นความสำคัญของการวิจัยนั้นๆ

ในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ ผู้วิจัยควรพิจารณาถึงหัวข้อที่ศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัย และขอบเขตของการวิจัย จากนั้นจึงดำเนินการค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงเทคนิคต่อไปนี้

1. กำหนดขอบเขตของการค้นหาให้ชัดเจน

การกำหนดขอบเขตของการค้นหาให้ชัดเจนเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพราะจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

ในการกำหนดขอบเขตของการค้นหา ผู้วิจัยควรพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ตัวแปรที่ศึกษา ผู้วิจัยควรระบุตัวแปรที่ศึกษาอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ตรงประเด็น
  • ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยควรระบุประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา เพื่อให้สามารถค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ครอบคลุม
  • ระยะเวลา ผู้วิจัยควรระบุระยะเวลาที่ศึกษา เพื่อให้สามารถค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ทันเหตุการณ์
  • สถานที่ ผู้วิจัยควรระบุสถานที่ที่ศึกษา เพื่อให้สามารถค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ตรงตามพื้นที่
  • วิธีการวิจัย ผู้วิจัยควรระบุวิธีการวิจัยที่ใช้ เพื่อให้สามารถค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ตรงตามรูปแบบ

ตัวอย่างการกำหนดขอบเขตของการค้นหา

สมมติว่าผู้วิจัยสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน ผู้วิจัยอาจกำหนดขอบเขตของการค้นหาดังนี้

  • ตัวแปรที่ศึกษา ระดับความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน
  • ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง พนักงานในองค์กรต่างๆ
  • ระยะเวลา 5 ปีย้อนหลัง
  • สถานที่ ประเทศไทย
  • วิธีการวิจัย การศึกษาเชิงประจักษ์

การกำหนดขอบเขตของการค้นหาจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความน่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำถามที่ผู้วิจัยอาจพิจารณาในการกำหนดขอบเขตของการค้นหา

  • ตัวแปรที่ศึกษาคืออะไร?
  • ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือใคร?
  • ระยะเวลาที่ศึกษาคือเมื่อใด?
  • สถานที่ที่ศึกษาคือที่ไหน?
  • วิธีการวิจัยที่ใช้คืออะไร?

โดยผู้วิจัยควรพิจารณาคำถามเหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตของการค้นหาได้อย่างเหมาะสมกับหัวข้อที่ศึกษา

2. เลือกใช้แหล่งข้อมูลที่เหมาะสม

แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องอาจได้แก่ หนังสือ บทความวิชาการ วารสารวิชาการ วิทยานิพนธ์ รายงานวิจัย เว็บไซต์ และฐานข้อมูลออนไลน์ เป็นต้น ผู้วิจัยควรเลือกใช้แหล่งข้อมูลที่เหมาะสมกับหัวข้อที่ศึกษา โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือ ความทันสมัย และวัตถุประสงค์ในการวิจัย

ความน่าเชื่อถือ แหล่งข้อมูลควรมีความน่าเชื่อถือ หมายถึง แหล่งข้อมูลนั้นๆ ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ เช่น หนังสือวิชาการจากสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียง วารสารวิชาการจากสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานวิจัยชั้นนำ วิทยานิพนธ์และรายงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ เป็นต้น

ความทันสมัย แหล่งข้อมูลควรมีความทันสมัย หมายถึง แหล่งข้อมูลนั้นๆ ได้รับการเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความรู้และข้อมูลล่าสุดในสาขานั้นๆ

วัตถุประสงค์ในการวิจัย ผู้วิจัยควรเลือกใช้แหล่งข้อมูลที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการวิจัยของตน เช่น หากผู้วิจัยต้องการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ศึกษา ผู้วิจัยอาจเลือกใช้หนังสือวิชาการเป็นหลัก หากผู้วิจัยต้องการศึกษาผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจเลือกใช้บทความวิชาการ วารสารวิชาการ วิทยานิพนธ์ และรายงานวิจัย เป็นต้น

ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • หนังสือวิชาการ เช่น หนังสือตำรา หนังสืออ้างอิง หนังสือรวบรวมบทความ เป็นต้น
  • บทความวิชาการ เช่น บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ บทความที่นำเสนอในการประชุมวิชาการ เป็นต้น
  • วารสารวิชาการ เช่น วารสารวิชาการระดับชาติและนานาชาติ
  • วิทยานิพนธ์ เช่น วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก เป็นต้น
  • รายงานวิจัย เช่น รายงานวิจัยจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน รายงานวิจัยจากสถาบันการศึกษา เป็นต้น
  • เว็บไซต์ เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานวิชาการ เว็บไซต์ของสถาบันวิจัย เป็นต้น
  • ฐานข้อมูลออนไลน์ เช่น ฐานข้อมูล EBSCOhost ฐานข้อมูล ProQuest ฐานข้อมูล Scopus เป็นต้น

ผู้วิจัยควรพิจารณาเลือกสรรแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ทันสมัย และเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน

3. ศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยอย่างรอบคอบ

การศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยอย่างรอบคอบเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพราะจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน

ในการศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้

  • แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัยของตน
  • วิธีการวิจัยที่ใช้ ผู้วิจัยควรศึกษาวิธีการวิจัยที่ใช้ เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของผลการวิจัย
  • ผลการศึกษาวิจัย ผู้วิจัยควรศึกษาผลการศึกษาวิจัย เพื่อหาข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน
  • ข้อจำกัดของการศึกษาวิจัย ผู้วิจัยควรศึกษาข้อจำกัดของการศึกษาวิจัย เพื่อพิจารณาถึงแนวทางการปรับปรุงงานวิจัยของตน

ตัวอย่างการศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัย

สมมติว่าผู้วิจัยสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน ผู้วิจัยอาจศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  • ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้อง เช่น แนวคิดเรื่องความเครียด แนวคิดเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน กรอบแนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน เป็นต้น
  • ศึกษาวิธีการวิจัยที่ใช้ เช่น วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ วิธีการวิจัยเชิงทดลอง เป็นต้น
  • ศึกษาผลการศึกษาวิจัย เช่น พบว่าระดับความเครียดในระดับปานกลางสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น ในขณะที่ระดับความเครียดในระดับสูงสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง เป็นต้น
  • ศึกษาข้อจำกัดของการศึกษาวิจัย เช่น การศึกษาส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ระยะเวลาการศึกษาสั้น เป็นต้น

จากการศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยจะได้ข้อมูลและองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน เช่น แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้อง วิธีการวิจัยที่ใช้ ผลการศึกษาวิจัย และข้อจำกัดของการศึกษาวิจัย เป็นต้น ข้อมูลและองค์ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถดำเนินการวิจัยของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำถามที่ผู้วิจัยอาจพิจารณาในการศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัย

  • เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญอะไรบ้าง?
  • เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องใช้แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิดอะไร?
  • เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องใช้วิธีการวิจัยอะไร?
  • ผลการวิจัยที่นำเสนอในเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไร?
  • ข้อจำกัดของการศึกษาวิจัยที่นำเสนอในเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องคืออะไร?

โดยผู้วิจัยควรพิจารณาคำถามเหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. สรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ

การสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยได้อย่างง่ายดาย

ในการสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้

  • ความชัดเจน ผู้วิจัยควรสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
  • ความกระชับ ผู้วิจัยควรสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ไม่ควรยืดเยื้อหรือซ้ำซ้อน
  • ความครบถ้วน ผู้วิจัยควรสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน ครอบคลุมประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน

ตัวอย่างการสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

สมมติว่าผู้วิจัยสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน ผู้วิจัยอาจสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  • สรุปประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน เช่น พบว่าระดับความเครียดในระดับปานกลางสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น ในขณะที่ระดับความเครียดในระดับสูงสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง เป็นต้น
  • เชื่อมโยงประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตนกับงานวิจัยของตน เช่น ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องสนับสนุนสมมติฐานของงานวิจัยของตน เป็นต้น

การสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำถามที่ผู้วิจัยอาจพิจารณาในการสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

  • ประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตนคืออะไร?
  • ประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตนเชื่อมโยงกับงานวิจัยของตนอย่างไร?

โดยผู้วิจัยควรพิจารณาคำถามเหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างกระชับ

ตัวอย่าง

สมมติว่าผู้วิจัยสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน ผู้วิจัยอาจดำเนินการค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดขอบเขตของการค้นหาให้ครอบคลุมตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ ระดับความเครียด ประสิทธิภาพการทำงาน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พนักงานในองค์กรต่างๆ ระยะเวลา สถานที่ และวิธีการวิจัย เป็นต้น

ผู้วิจัยอาจเริ่มต้นจากการค้นคว้าเอกสารทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน เช่น แนวคิด ทฤษฎี และกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้อง จากนั้นก็อาจค้นคว้างานวิจัยเชิงประจักษ์ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเครียดและประสิทธิภาพการทำงาน โดยพิจารณาจากวิธีการวิจัยที่ใช้ ผลการศึกษาวิจัย และข้อจำกัดของการศึกษาวิจัย

จากนั้น ผู้วิจัยอาจสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นประเด็นสำคัญและข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน เช่น พบว่าระดับความเครียดในระดับปานกลางสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น ในขณะที่ระดับความเครียดในระดับสูงสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง เป็นต้น

จากตัวอย่างข้างต้น ผู้วิจัยได้ดำเนินการค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยกำหนดขอบเขตของการค้นหาให้ชัดเจน เลือกใช้แหล่งข้อมูลที่เหมาะสม และสรุปและนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ส่งผลให้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของตน

สรุปได้ว่า เทคนิคการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ เป็นเทคนิคการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น ผู้วิจัยควรศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้สามารถเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การอภิปรายผลการวิจัย

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่พออภิปรายผล ทำอย่างไร

ในฐานะเจ้าของธุรกิจ นักการตลาด หรือนักวิจัย หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องเผชิญคือการตีความและสื่อสารผลการวิจัย ในโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างรวดเร็ว การวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค แนวโน้มของตลาด และผลลัพธ์ทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การทำวิจัยเป็นเพียงครึ่งเดียวของการต่อสู้ การอภิปรายผลผลลัพธ์เหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพมีความสำคัญเท่าเทียมกัน หากไม่มีการอภิปรายผลที่เหมาะสม ข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการวิจัยจะสูญหายไป และธุรกิจของคุณจะได้รับผลกระทบ

ที่ทีมงานรับทำวิจัยเราเข้าใจถึงความสำคัญของการอภิปรายผลผลการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการอภิปรายผลการวิจัย รวมถึงความสำคัญของการอภิปรายผลที่ชัดเจน การระบุผู้ชม และการใช้ภาษาที่เหมาะสม

ความสำคัญของการอภิปรายผลที่ชัดเจน

การอภิปรายผลที่ชัดเจนมีความสำคัญต่อการอภิปรายผลการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความเข้าใจในหัวข้อหรือวิธีการวิจัยในระดับเดียวกัน ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องสื่อสารผลลัพธ์ในลักษณะที่ชัดเจนและรัดกุม หลีกเลี่ยงศัพท์แสงทางเทคนิคที่อาจทำให้ผู้ชมสับสน

ในการอภิปรายผลผลการวิจัยจำเป็นต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ทางเทคนิคเว้นแต่จำเป็นและให้คำอธิบายสำหรับศัพท์แสงที่ใช้ นอกจากนี้ การใช้ตัวช่วยด้านภาพ เช่น กราฟและแผนภูมิสามารถช่วยถ่ายทอดข้อมูลที่ซับซ้อนและทำให้เข้าใจผลลัพธ์ได้ง่ายขึ้น

ความเข้าใจในหัวข้อที่แตกต่างกัน

เมื่อพูดถึงผลการวิจัย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระบุผู้ฟัง ผู้ชมที่แตกต่างกันจะมีความรู้และความเข้าใจในหัวข้อที่แตกต่างกัน ดังนั้นภาษาและรูปแบบการอภิปรายผลที่ใช้ควรปรับให้เหมาะกับผู้ฟัง

ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังนำเสนอผลการวิจัยแก่กลุ่มผู้บริหาร คุณอาจต้องการเน้นที่ผลการวิจัยโดยนัยสำหรับธุรกิจมากกว่าวิธีการที่ใช้ ในทางกลับกัน หากคุณกำลังนำเสนอผลการวิจัยต่อกลุ่มนักวิจัย คุณอาจต้องให้ข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระเบียบวิธีที่ใช้และข้อมูลที่รวบรวม

การใช้ภาษาที่เหมาะสม

ในการอภิปรายผลผลการวิจัย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ภาษาที่เหมาะสม ภาษาที่ใช้ควรเป็นภาษามืออาชีพและหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาพูดหรือคำสแลง นอกจากนี้ ภาษาควรมีวัตถุประสงค์และหลีกเลี่ยงอคติหรือความคิดเห็นใดๆ

เมื่อพูดถึงผลการวิจัย สิ่งสำคัญคือต้องซื่อสัตย์และโปร่งใสเกี่ยวกับข้อจำกัดหรือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในข้อมูล ด้วยความโปร่งใส คุณจะสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ชมและแสดงว่าคุณมุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

บทสรุป

โดยสรุป การทำวิจัยเป็นเพียงครึ่งรบ การอภิปรายผลผลการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพมีความสำคัญเท่าเทียมกัน โดยเน้นที่การสื่อสารที่ชัดเจน ระบุผู้ชม และใช้ภาษาที่เหมาะสม คุณสามารถสื่อสารผลการวิจัยและตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่ทีมงานรับทำวิจัยเราเข้าใจถึงความสำคัญของการอภิปรายผลที่มีประสิทธิภาพในการวิจัย ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราสามารถช่วยคุณตีความและสื่อสารผลการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจอย่างรอบรู้ ติดต่อเราวันนี้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถช่วยเหลือคุณได้

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

การอ้างอิงในฐานข้อมูล TCI

การอ้างอิงในฐานข้อมูล TCI

การอ้างอิงในฐานข้อมูลดัชนีการอ้างอิงไทย (TCI) หมายถึง บทความ วารสาร และงานวิชาการอื่น ๆ ที่ถูกอ้างถึงในบทความที่รวมอยู่ในฐานข้อมูล TCI การอ้างอิงเหล่านี้ใช้โดยคณะกรรมการ TCI เพื่อประเมินคุณภาพและผลกระทบของวารสารในฐานข้อมูล

การอ้างอิงในฐานข้อมูล TCI มักจะอยู่ในรูปแบบมาตรฐาน เช่น รูปแบบการอ้างอิงของ American Psychological Association (APA) หรือ Modern Language Association (MLA) การอ้างอิงเหล่านี้รวมถึงชื่อผู้แต่ง ชื่อผลงาน วันที่ตีพิมพ์ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ฐานข้อมูล TCI ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลอ้างอิงตามผู้แต่ง ชื่อเรื่อง วันที่ตีพิมพ์ และเกณฑ์อื่นๆ ผู้ใช้ยังสามารถดูข้อความฉบับเต็มของเอกสารอ้างอิงและเข้าถึงบทความ วารสาร และงานวิชาการอื่นๆ ที่อ้างอิงได้

เมื่อมีการส่งบทความไปยังวารสารที่รวมอยู่ในฐานข้อมูลดัชนีการอ้างอิงไทย (TCI) คณะกรรมการ TCI จะประเมินการอ้างอิงที่อ้างถึงในบทความเพื่อประเมินคุณภาพและผลกระทบของงานวิจัย การอ้างอิงที่อ้างถึงในบทความเป็นรายการของแหล่งข้อมูลที่ผู้เขียนใช้ในการค้นคว้าและเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการประเมิน

การอ้างอิงที่อ้างถึงในฐานข้อมูล TCI ใช้เพื่อประเมินคุณภาพของวารสารได้หลายวิธี 

ประการแรก โดยการใส่รายการอ้างอิง แสดงว่าผู้เขียนได้ทำการทบทวนวรรณกรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในสาขานั้น สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนตระหนักถึงวรรณกรรมที่มีอยู่และได้วางงานวิจัยไว้ในบริบท

ประการที่สอง การอ้างอิงที่อ้างถึงในบทความใช้เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือและความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล คณะกรรมการ TCI จะตรวจสอบว่าการอ้างอิงนั้นมาจากแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ เช่น วารสารหรือหนังสือที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากทำให้มั่นใจได้ว่างานวิจัยนั้นอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลคุณภาพสูง

สุดท้าย การอ้างอิงที่อ้างถึงในบทความใช้เพื่อประเมินความเกี่ยวข้องและความสำคัญของการวิจัย คณะกรรมการ TCI จะตรวจสอบว่าการอ้างอิงเกี่ยวข้องกับหัวข้อการวิจัยและสนับสนุนข้อโต้แย้งและข้อสรุปในบทความ สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากทำให้มั่นใจได้ว่าการวิจัยมีส่วนสนับสนุนที่มีความหมายในสาขานี้

โดยสรุป การอ้างอิงที่อ้างถึงในฐานข้อมูล TCI เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการประเมินวารสาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนได้ทำการทบทวนวรรณกรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วนของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในสาขานั้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คณะกรรมการ TCI สามารถประเมินความน่าเชื่อถือและความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล และความเกี่ยวข้องและความสำคัญของงานวิจัย โดยการตรวจสอบการอ้างอิง คณะกรรมการ TCI สามารถรับประกันได้ว่างานวิจัยนั้นอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพสูง

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

หากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่หามาไม่พอกับการอภิปรายผล

หากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่หามาไม่พอกับการอภิปรายผลต้องทำอย่างไร

หากมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่เพียงพอที่จะอภิปรายผลลัพธ์ อาจแสดงว่าขอบเขตของโครงการวิจัยของคุณแคบเกินไปหรือจำเป็นต้องมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจหัวข้อนี้อย่างถ่องแท้ ในกรณีนี้ สิ่งสำคัญคือต้องมีความโปร่งใสและซื่อสัตย์เกี่ยวกับข้อจำกัดของการวิจัยของคุณ และให้บริบทสำหรับผลลัพธ์ที่คุณมี

แนวทางหนึ่งคือการรับทราบข้อจำกัดและให้ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในอนาคต ซึ่งอาจรวมถึงการระบุช่องว่างในวรรณกรรมที่มีอยู่ เสนอคำถามการวิจัยใหม่ หรือแนะนำวิธีการตรวจสอบเพิ่มเติม

อีกวิธีหนึ่งคือการให้คำอธิบายโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่ใช้ในการวิจัยของคุณและเพื่อหารือเกี่ยวกับผลลัพธ์ในบริบทของการวิจัยก่อนหน้านี้ในหัวข้อ สิ่งนี้สามารถช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับผลการวิจัยและเพื่อเน้นย้ำถึงการมีส่วนร่วมของการวิจัยของคุณ

คุณยังสามารถพิจารณารูปแบบการรวบรวมข้อมูลอื่นๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังทำการสำรวจ คุณอาจใช้วิธีการเชิงคุณภาพ เช่น การสัมภาษณ์หรือการสังเกตเพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเป็นกระบวนการต่อเนื่องและงานของคุณอาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการศึกษาในอนาคต การวิจัยของคุณอาจไม่ได้ให้คำตอบทั้งหมด แต่ก็ยังสามารถนำไปสู่ความเข้าใจโดยรวมของหัวข้อได้

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ทำไมต้องอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ทำไมต้องอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญเนื่องจากเป็นหลักฐานสนับสนุนการอ้างสิทธิ์และข้อโต้แย้งในงานวิจัยปัจจุบัน นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแสดงให้เห็นถึงความละเอียดรอบคอบของการวิจัย นอกจากนี้ การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยสามารถจัดลำดับงานของตนภายในเนื้อหาวรรณกรรมที่ใหญ่ขึ้นในหัวข้อดังกล่าว และระบุช่องว่างในงานวิจัยที่มีอยู่ซึ่งงานของตนมีเป้าหมายเพื่อเติมเต็ม นอกจากนี้ การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงาน เนื่องจากเป็นการแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยมาจากที่ใด และให้เครดิตแก่ผู้เขียนที่ทำการค้นคว้าต้นฉบับ ดังนั้น การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสมบูรณ์ทางวิชาการและเพื่อให้มีงานวิจัยที่ละเอียดถี่ถ้วนและได้รับการสนับสนุนอย่างดี

การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เครดิตแก่ผู้เขียนงานต้นฉบับและเพื่อให้เข้าใจบริบทและภูมิหลังของการศึกษาปัจจุบันอย่างชัดเจน โดยการอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยสามารถแสดงหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อค้นพบและข้อสรุปของตนเอง และแสดงให้เห็นว่าการศึกษาของพวกเขาเหมาะสมกับองค์ความรู้ขนาดใหญ่ในสาขานั้นอย่างไร นอกจากนี้ การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและอำนาจของผู้วิจัยในหัวข้อดังกล่าว เนื่องจากเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้ทำการทบทวนวรรณกรรมอย่างถี่ถ้วนแล้ว นอกจากนี้ การอ้างถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องยังช่วยให้ผู้วิจัยหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงาน ซึ่งเป็นการละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงในชุมชนการวิจัย

เมื่ออ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สิ่งสำคัญคือต้องใช้รูปแบบการอ้างอิงที่สอดคล้องและเหมาะสม เช่น APA หรือ MLA และรวมข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องเกี่ยวกับแหล่งที่มา เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อผลงาน และวันที่ตีพิมพ์ . นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรคำนึงถึงความเกี่ยวข้องและความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลที่อ้างอิง เนื่องจากควรใช้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและน่าเชื่อถือเท่านั้นในการสนับสนุนข้อค้นพบและข้อสรุปของผู้วิจัยเอง

โดยสรุป การอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการวิจัย เนื่องจากเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของผู้วิจัย แสดงให้เห็นว่าการศึกษานั้นเหมาะสมกับองค์ความรู้ที่กว้างขึ้นอย่างไร และช่วยหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงาน สิ่งสำคัญคือต้องใช้รูปแบบการอ้างอิงที่สอดคล้องและเหมาะสม และรวมข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องเกี่ยวกับแหล่งที่มาเมื่ออ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรใช้เฉพาะแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีความเกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนข้อค้นพบและข้อสรุปของผู้วิจัยเอง

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

แปลสรุปงานวิทยานิพนธ์จากต่างประเทศเพื่อนำเนื้อหามาใช้งาน

แปลสรุปงานวิทยานิพนธ์จากต่างประเทศเพื่อนำเนื้อหามาใช้งานอย่างไร ให้เข้าใจตรงกับบริบทของเรื่องที่ทำ

การแปลบทสรุปวิทยานิพนธ์จากต่างประเทศเป็นเครื่องมืออันมีค่าสำหรับนักวิจัย เนื่องจากช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงวรรณกรรมและข้อมูลที่หลากหลายยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่ากระบวนการแปลอาจซับซ้อนและต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญระดับสูง เคล็ดลับในการแปลบทสรุปจากต่างประเทศและทำความเข้าใจวิทยานิพนธ์ให้สอดคล้องกับบริบทของงานมีดังนี้

  1. ใช้นักแปลมืออาชีพ: สิ่งสำคัญคือต้องใช้นักแปลมืออาชีพที่เชี่ยวชาญในภาษาของเนื้อหาต้นทางและภาษาเป้าหมาย สิ่งนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าการแปลนั้นถูกต้องและความแตกต่างที่สำคัญและรายละเอียดปลีกย่อยจะไม่สูญหายไปในกระบวนการนี้
  2. ตรวจสอบบริบททางวัฒนธรรม: การแปลควรตรวจสอบบริบททางวัฒนธรรมเพื่อให้แน่ใจว่าความหมายจะไม่ถูกบิดเบือน นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเมื่อต้องรับมือกับสำนวนหรือการอ้างอิงทางวัฒนธรรม
  3. ตรวจทานการแปล: ควรตรวจทานบทสรุปที่แปลโดยผู้วิจัยที่คุ้นเคยกับหัวข้อนั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องและเหมาะสมสำหรับการวิจัย
  4. ทำความเข้าใจบริบทของงาน: เมื่ออ่านและตีความบทสรุปที่แปลแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบริบทของงาน ซึ่งรวมถึงบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมของการศึกษา ตลอดจนคำถามการวิจัย วิธีการ และข้อสรุป
  5. เปรียบเทียบกับต้นฉบับ: การเปรียบเทียบบทสรุปที่แปลแล้วกับต้นฉบับต้นฉบับเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าบทสรุปนั้นรวบรวมแนวคิดหลักและข้อสรุปหลักของต้นฉบับต้นฉบับ
  6. ระวังอคติที่อาจเกิดขึ้น: ผู้แปลอาจมีอคติของตนเอง และสิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงสิ่งนี้เมื่อตีความบทสรุปที่แปล

โดยสรุปแล้ว การแปลบทสรุปวิทยานิพนธ์จากต่างประเทศอาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักวิจัย แต่ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญในระดับสูง สิ่งสำคัญคือต้องใช้นักแปลมืออาชีพ ตรวจสอบบริบททางวัฒนธรรม ตรวจทานการแปล ทำความเข้าใจบริบทของงาน เปรียบเทียบกับต้นฉบับ และระวังอคติที่อาจเกิดขึ้น เมื่อปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ นักวิจัยสามารถมั่นใจได้ว่าบทสรุปที่แปลถูกต้องและเหมาะสมสำหรับการวิจัยของตน และวิทยานิพนธ์มีความเข้าใจสอดคล้องกับบริบทของงาน

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ทำไมการต้องบันทึกงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไว้ด้วย

การบันทึกงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการวิจัย มีเหตุผลหลายประการที่จำเป็นต้องบันทึกงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง:

  1. ต่อยอดจากความรู้ที่มีอยู่: การบันทึกงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยสามารถสร้างความรู้และผลการวิจัยจากการศึกษาก่อนหน้านี้ได้ สิ่งนี้ช่วยให้แน่ใจว่างานวิจัยใหม่มีพื้นฐานมาจากวรรณกรรมที่มีอยู่และสอดคล้องกับความรู้ที่มีอยู่
  2. เพื่อสนับสนุนการออกแบบและวิธีการวิจัย: สามารถใช้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการออกแบบและวิธีการวิจัย ตัวอย่างเช่น การศึกษาก่อนหน้านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการที่ดีที่สุดในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนขนาดตัวอย่างและเทคนิคทางสถิติที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้
  3. เพื่อให้บริบทสำหรับการวิจัย: การวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถให้บริบทสำหรับการวิจัยและช่วยให้ค้นพบในมุมมอง เมื่อเข้าใจบริบทของการวิจัยที่กำลังดำเนินอยู่ นักวิจัยสามารถตีความผลลัพธ์ได้ดีขึ้นและได้ข้อสรุปที่มีความหมายมากขึ้น
  4. เพื่อสนับสนุนข้อสรุปและข้อเสนอแนะ: สามารถใช้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนข้อสรุปและข้อเสนอแนะของการศึกษา ตัวอย่างเช่น การวิจัยก่อนหน้านี้สามารถใช้เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับประสิทธิผลของการแทรกแซงเฉพาะหรือศักยภาพสำหรับการวิจัยในอนาคต
  5. เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางวิชาการ: ในหลายสาขาวิชา จำเป็นต้องมีการอ้างอิงจำนวนหนึ่งเพื่อแสดงความเข้าใจของผู้วิจัยเกี่ยวกับวรรณกรรมและความคิดริเริ่มของงานวิจัยของพวกเขา
  6. เพื่อให้แน่ใจว่ามีการจำลองแบบของงานวิจัย: การบันทึกงานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้นักวิจัยคนอื่นสามารถทำซ้ำการศึกษาได้ ซึ่งมีความสำคัญต่อความเข้มงวดทางวิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าของความรู้
  7. เพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน: การบันทึกงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยป้องกันการทำงานซ้ำซ้อนได้โดยการระบุว่างานวิจัยใดที่ได้ทำไปแล้วและพื้นที่ใดบ้างที่ยังต้องสำรวจ

โดยสรุป การบันทึกงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการวิจัย ช่วยให้นักวิจัยสามารถสร้างองค์ความรู้ที่มีอยู่ สนับสนุนการออกแบบและวิธีการวิจัย ให้บริบทสำหรับการวิจัย สนับสนุนข้อสรุปและข้อเสนอแนะ ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางวิชาการ รับรองการจำลองแบบของการวิจัย และป้องกันการซ้ำซ้อน ด้วยการบันทึกงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยสามารถมั่นใจได้ว่างานวิจัยของพวกเขาได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี และการค้นพบนั้นมีความหมายและมีความเกี่ยวข้อง

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ตัวอย่างวรรณกรรมเกี่ยวกับการเป็นผู้บริหารในยุคดิจิตอล

ตัวอย่างวรรณกรรม หรือทฤษฎีที่สอดคล้องกับงานวิจัยที่เกี่ยวกับ การเป็นผู้บริหารในยุคดิจิตอล

มีทฤษฎีและตัวอย่างวรรณกรรมมากมายที่สอดคล้องกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการในยุคดิจิทัล ได้แก่

  1. ทฤษฎี Digital Transformation แนะนำว่าธุรกิจต้องปรับตัวและพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของยุคดิจิทัลเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ทฤษฎีนี้เสนอแนะว่าธุรกิจต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ มาใช้และเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อให้ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล
  2. ทฤษฎีการแพร่กระจายของนวัตกรรมเสนอว่าการยอมรับผลิตภัณฑ์หรือแนวคิดใหม่ ๆ แพร่กระจายผ่านประชากรในช่วงเวลาหนึ่ง ทฤษฎีนี้สามารถประยุกต์ใช้กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ได้ เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าเมื่อมีธุรกิจจำนวนมากขึ้นนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ธุรกิจจำนวนมากก็จะดำเนินการดังกล่าวต่อไป
  3. แบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) แสดงให้เห็นว่าการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ของบุคคลนั้นได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ถึงประโยชน์และความสะดวกในการใช้งาน ในบริบทของการจัดการในยุคดิจิทัล ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าพนักงานและผู้จัดการจะเต็มใจมากขึ้นที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หากพวกเขาเห็นว่ามีประโยชน์และใช้งานง่าย
  4. หนังสือ “The Digital Transformation Playbook: Rethink Your Business for the Digital Age” โดย David L. Rogers อธิบายถึงวิธีที่ธุรกิจสามารถปรับตัวและพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของยุคดิจิทัล หนังสือเล่มนี้นำเสนอกลยุทธ์เชิงปฏิบัติสำหรับธุรกิจในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้และเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจของตน
  5. หนังสือ “Digital to the Core: Remastering Leadership for Your Industry, Your Enterprise, and Yourself” โดย Mark Raskino และ Graham Waller ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีที่เทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเรา และวิธีที่ผู้นำสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรของตนเพื่อใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีเหล่านี้
  6. หนังสือ “The Fourth Industrial Revolution” โดย Klaus Schwab อธิบายว่ายุคดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไร และผู้นำจะปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงใหม่นี้ได้อย่างไร

โปรดทราบว่าทฤษฎีและตัวอย่างเหล่านี้ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจวิธีจัดการในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าประสิทธิภาพของทฤษฎีและตัวอย่างเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริบท อุตสาหกรรม และองค์กร

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ตัวอย่างวรรณกรรมที่เกี่ยวกับการเป็นการปรับตัวขอบริษัทออนไลน์

ตัวอย่างวรรณกรรม หรือทฤษฎีที่สอดคล้องกับงานวิจัยที่เกี่ยวกับ การเป็นการปรับตัวของบริษัทออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงมาก

มีหลายทฤษฎีและตัวอย่างวรรณกรรมที่สอดคล้องกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของผู้ให้บริการออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูง:

  1. ทฤษฎีการมองตามทรัพยากรเสนอแนะว่าทรัพยากรและความสามารถของบริษัทเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน ในบริบทของการให้บริการออนไลน์ ทฤษฎีนี้เสนอว่าการมีทรัพยากรและความสามารถที่เหมาะสม เช่น โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ พนักงานที่มีความสามารถ และแบรนด์ที่มีชื่อเสียง สามารถทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
  2. แบบจำลอง Five Forces ของ Porter ชี้ให้เห็นว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมได้รับอิทธิพลจากการคุกคามของผู้เข้ามาใหม่ อำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์และลูกค้า การคุกคามของผลิตภัณฑ์หรือบริการทดแทน และความรุนแรงของการแข่งขันที่แข่งขันกัน ในบริบทของการให้บริการออนไลน์ แบบจำลองนี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทต้องตระหนักถึงแรงผลักดันเหล่านี้และพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบด้านลบ
  3. หนังสือ “The Innovator’s Dilemma” โดย Clayton Christensen บรรยายว่าบริษัทที่จัดตั้งขึ้นแล้วสามารถถูกขัดขวางโดยคู่แข่งรายใหม่ที่มีนวัตกรรมได้อย่างไร ในบริบทของการให้บริการออนไลน์ หนังสือเล่มนี้แนะนำว่าบริษัทที่จัดตั้งขึ้นจะต้องตระหนักถึงศักยภาพของการหยุดชะงัก และดำเนินการเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และก้าวนำหน้าคู่แข่ง
  4. หนังสือ “การเริ่มต้นแบบลีน: ผู้ประกอบการในปัจจุบันใช้นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมากได้อย่างไร” โดย Eric Ries นำเสนอวิธีการในการสร้างและปรับขนาดผู้ให้บริการออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ หนังสือเล่มนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทดลองอย่างรวดเร็วและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
  5. หนังสือ “Blue Ocean Strategy: How to Create Uncontested Market Space and Make the Competition Irrlevant” โดย W. Chan Kim และ Renée Mauborgne เสนอแนะว่าบริษัทต่าง ๆ สามารถบรรลุความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยการสร้างพื้นที่ตลาดใหม่ ๆ ที่ไม่มีใครโต้แย้ง แทนที่จะแข่งขันในพื้นที่ที่มีอยู่ซึ่งแออัด ตลาด ในบริบทของการให้บริการออนไลน์ หนังสือเล่มนี้แนะนำว่า บริษัทต่างๆ ควรมุ่งเน้นที่การสร้างบริการที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างซึ่งยังไม่มีให้บริการโดยคู่แข่ง

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าทฤษฎีและตัวอย่างเหล่านี้ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด และเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพื่อให้เข้าใจว่าจะปรับตัวอย่างไรกับผู้ให้บริการออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูง นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าประสิทธิภาพของทฤษฎีและตัวอย่างเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริบท อุตสาหกรรม และองค์กร

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ตัวอย่างวรรณกรรมการขายของออนไลน์

ตัวอย่างวรรณกรรม หรือทฤษฎีที่สอดคล้องกับงานวิจัยที่เกี่ยวกับ การขายของออนไลน์ให้ได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น

มีทฤษฎีและตัวอย่างวรรณกรรมมากมายที่สอดคล้องกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มยอดขายออนไลน์:

  1. ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (TPB) เสนอว่าพฤติกรรมของบุคคลได้รับอิทธิพลจากทัศนคติ บรรทัดฐานส่วนตัว และการรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรม ในบริบทของการขายของออนไลน์ ทฤษฎีนี้เสนอว่าความเต็มใจที่จะซื้อทางออนไลน์ของบุคคลนั้นได้รับอิทธิพลจากทัศนคติที่มีต่อการซื้อของทางออนไลน์ บรรทัดฐานทางสังคมของคนรอบข้าง และการรับรู้ความสามารถในการซื้อทางออนไลน์
  2. ทฤษฎีการแพร่กระจายของนวัตกรรมเสนอว่าการยอมรับผลิตภัณฑ์หรือแนวคิดใหม่ ๆ แพร่กระจายผ่านประชากรในช่วงเวลาหนึ่ง ทฤษฎีนี้สามารถนำไปใช้กับการยอมรับการช้อปปิ้งออนไลน์ เนื่องจากมันชี้ให้เห็นว่าเมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้นยอมรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ผู้คนจำนวนมากก็จะยังคงทำเช่นนั้นต่อไป
  3. แบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) แสดงให้เห็นว่าการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ของบุคคลนั้นได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ถึงประโยชน์และความสะดวกในการใช้งาน ในบริบทของการขายออนไลน์ ทฤษฎีนี้เสนอว่าความเต็มใจที่จะซื้อทางออนไลน์ของบุคคลนั้นได้รับอิทธิพลจากการรับรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการซื้อของออนไลน์และความง่ายในการใช้งานของแพลตฟอร์มการซื้อของออนไลน์
  4. ทฤษฎีการกำหนดใจตนเอง (SDT) แนะนำว่าผู้คนมีแรงจูงใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สอดคล้องกับคุณค่าและความรู้สึกของตนเอง ในบริบทของการขายออนไลน์ ทฤษฎีนี้เสนอว่าผู้คนจะเต็มใจที่จะซื้อทางออนไลน์มากขึ้นหากสอดคล้องกับค่านิยมและความรู้สึกของตนเอง
  5. หลักการโน้มน้าวใจของ Cialdini โดยเฉพาะหลักการของการพิสูจน์ทางสังคม ระบุว่าผู้คนมักจะมองหาผู้อื่นเมื่อพวกเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับวิธีการประพฤติตน ในบริบทของการขายของออนไลน์ ทฤษฎีนี้เสนอว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะซื้อของออนไลน์หากเห็นคนอื่นทำแบบนั้น
  6. หนังสือ “อิทธิพล: จิตวิทยาของการโน้มน้าวใจ” โดย Robert Cialdini อธิบายหลักการของการโน้มน้าวใจ 6 ประการ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ความขาดแคลน อำนาจ ความสม่ำเสมอ ความชอบ และหลักฐานทางสังคม หลักการทั้งหมดนี้สามารถนำไปใช้กับการขายออนไลน์ได้ เช่น การใช้ความขาดแคลนเพื่อสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและความสม่ำเสมอเพื่อสร้างความไว้วางใจ
  7. หนังสือ “Made to Stick: Why Some Ideas Survive and Others Die” โดย Chip Heath และ Dan Heath อธิบายหลักการของการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จ 6 ประการ ได้แก่ ความเรียบง่าย ความคาดไม่ถึง ความเป็นรูปธรรม ความน่าเชื่อถือ อารมณ์ความรู้สึก และการเล่าเรื่อง หลักการเหล่านี้สามารถนำไปใช้กับการขายออนไลน์ได้ เช่น การใช้การเล่าเรื่องเพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับลูกค้า และลดความซับซ้อนของกระบวนการซื้อเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

โปรดทราบว่าทฤษฎีและตัวอย่างเหล่านี้ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าประสิทธิภาพของทฤษฎีและตัวอย่างเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริบท อุตสาหกรรม และกลุ่มเป้าหมาย

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย

5 ข้อควรระวังในการทำงานวิจัย เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด

“จะทำอย่างไรให้การทำงานวิจัยของคุณ ไม่เกิดข้อผิดพลาดเลย…?”  แทบจะเป็นไม่ได้ เพราะไม่ว่าการทำงานลักษณะใด ก็มักจะมีข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างการทำเป็นธรรมดา แต่จะมากหรือน้อยนั้นแตกต่างกัน 

ซึ่งในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ต้นเหตุข้อผิดพลาดที่คนส่วนใหญ่มักจะลืมนึกถึงในการทำงานวิจัย ที่ทางเราได้ทำการรวบรวม 5 ข้อควรระวังในการทำงานวิจัย ที่คุณจะต้องคำนึงถึงให้คุณได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบและระมัดระวังได้

1. หลักการและเหตุผลจะต้องสอดรับกับหัวข้องานวิจัย 

หากคุณเขียนวิจัยบทที่ 1 ออกมาได้ดี ก็เท่ากับคุณประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง เพราะเมื่อคุณมีจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว นั่นก็เหมือนกับคุณเริ่มเดินมาถูกทาง 

ซึ่งนอกจากการที่คุณจะต้องมีการตั้งหัวข้อที่ดีและน่าสนใจแล้ว คุณจะต้องมีการเขียนหลักการและเหตุผลให้สอดคล้องกับหัวข้องานวิจัยของคุณด้วย คุณควรเขียนหลักการและเหตุผลให้เหมือนกับ ปิรามิด IPESA โดยการเริ่มจากข้อมูลกว้างๆ ซึ่งเริ่มต้นด้วย 5 องค์ประกอบ ดังนี้

ปิรามิด IPESA
1. Ideal Situation การเขียนหรือวิเคราะห์สิ่งที่คาดหวัง สภาพที่พึงประสงค์ ของประเด็นนั้นๆ
2. Present Condition  สภาพปัจจุบันของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยการลำดับจากเหตุการณ์ต่างๆ
3. Existing Problems สภาพปัญหาของประเด็นที่กาลังเกิดขึ้นโดยเชื่อมโยงกับสภาพปัจจุบันที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้
4. Solution Problems การแก้ไขปัญหา ซึ่งการแก้ไขจะต้องเชื่อมโยงกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
5. Aims of Solution วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย
แสดงโครงสร้างปิรามิด IPESA

เช่น หากคุณต้องการทำงานวิจัยเกี่ยวกับ “การลดค่าฝุ่นละอองในอากาศของกรุงเทพฯ” คุณอาจจะเริ่มด้วย การเขียนถึงสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดผุ่นละอองและความต้องการที่จะให้มีค่าฝุ่นละอองน้อยลง ต่อด้วยความเป็นจริงในปัจจุบันว่า ฝุ่นละอองในอากาศเกิดจากอะไร แล้วพยายามบีบลงมาจนถึงการชี้ให้เห็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของคุณ อย่างเช่น ค่าฝุ่นละอองที่สูงได้ส่งผลอะไรกับสุขภาพของคนในกรุงเทพฯ และตามด้วยการสรุปด้วยวิธีการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง (ที่คุณจะต้องคิดวิธีการและทำการทดลองว่าใช้งานได้จริงในการทำวิจัยของคุณ) 

นอกจากนั้นหลักการและเหตุผลของคุณจะต้องมีเนื้อหาที่ครอบคลุม และมีการลำดับความสำคัญให้ถูกต้องด้วย

2. เขียนวัตถุประสงค์และระบุขอบเขตของงานวิจัยให้ชัดเจน 

หากคุณไม่มีระบุขอบเขตในการทำงานวิจัยให้ชัดเจน นั่นอาจส่งผลกับกระบวนการที่เหลือของงานวิจัยของคุณได้ ดังนั้นการเขียนทิศทาง หรือขอบเขต รวมไปถึงวัตถุประสงค์ของงานวิจัยนั้น คุณจะต้องตระหนักถึงจุดมุ่งหมายในการวิจัยเป็นสำคัญ

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

โดยคุณจะต้องเขียนเพื่อระบุหรือกำหนดประเด็นในการทำวิจัย แต่ไม่ใช่การเขียนถึงวิธีการวิจัย หรือผลที่คาดหวังที่จะได้จากการทำวิจัย และคุณจะต้องมีการใช้ภาษาเขียนที่ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึง และเข้าใจได้ง่าย ไม่กำกวม หรือคุณอาจจะเขียนออกมาเป็นข้อๆ ก็ได้

3. ความคลาดเคลื่อนของผลการวิจัย

แม้ผลของงานวิจัยอาจจะมีความคาดเคลื่อนขึ้นได้ แต่คุณจะต้องระมัดระวังผลการวิจัยของคุณให้คาดเคลื่อนน้อยที่สุด ซึ่งความคลาดเคลื่อนนี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ความคลาดเคลื่อนจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่อาจเกิดจากการทำสถิติที่ผิดพลาด หรือ การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ผิดพลาด

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

ผลของการวิจัยถือเป็นหัวใจหลักอีกอย่างที่นำไปสู่การสรุปผลงานการวิจัยของคุณ ดังนั้นคุณจะต้องมีการคิดวิเคราะห์ที่รอบคอบ พิจารณาปัญหาอย่างดีเพื่อการออกแบบวิธีการวิจัยที่เหมาะสม มีการทำสถิติที่น่าเชื่อถือที่อาจจะต้องอาศัยคำแนะนำจากผู้ที่เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการเขียนรายงานผลจะต้องชัดเจน ไม่กลับไปกลับมา เพื่อป้องกันการอ่านข้อมูลที่ผิดพลาดและจะต้องไม่เขียนสรุปผลเกินจริงด้วย

4. ความคิดเห็นที่ลำเอียงจากตัวคุณเอง

ความคิดเห็นของคุณถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อการทำงานวิจัยของคุณ เพราะนั่นจะส่งผลต่อการสรุปผลการทดลองอย่างแน่นอน และถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงมาก

คุณจะต้องมีการวางใจเป็นกลาง ไม่ควรเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งซึ่งอาจทำให้เกิดการแปรปรวนกับผลการทดลอง คุณจะต้องมีความซื่อสัตย์ และมีจรรยาบรรณในการบันทึกผล และอ่านผลการทดลองด้วย

5. มีการวิเคราะห์ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

แน่นอนว่าการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทดลอง จะส่งผลกับบทสรุปในการทำวิจัยของคุณ เพื่อให้ผู้ที่อ่านสามารถเข้าใจได้ว่าคุณได้พบอะไรบ้างจากการทำวิจัยครั้งนี้ ดังนั้นคุณจะต้องวิธีการ รวมถึงกระบวนการในการวิเคราะห์ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการแปลผล การแปลค่าเฉลี่ย ไปจนถึงการแปลความหมายข้อมูล

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

การวิเคราะห์ข้อมูลนี้อาจจะต้องมีการใช้สูตร การคำนวนสถิติ การหาค่าเฉลี่ย ดังนั้นหากคุณไม่มีความเชี่ยวชาญในกระบวนการวิเคราะห์ คุณอาจจะต้องมีการปรึกษากับผู้ที่เชียวชาญ หรือทำการศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย

ทั้งหมดที่เราได้กล่าวมา ล้วนเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการทำงานวิจัย ซึ่งคุณจะต้องระมัดระวังให้ดี

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย

5 ทักษะ พัฒนาการทำงานวิจัยให้มีคุณภาพ

การทำงานวิจัย คือ การตั้งคำถามและการหาคำตอบให้กับคำถามอย่างมีหลักการ ด้วยวิธีการที่เป็นแบบแผน แต่คุณจะสามารถทำให้งานวิจัยของคุณมีคุณภาพได้อย่างไร 

ในบทความนี้เรามี 5 ทักษะ ที่จะสามารถช่วยพัฒนาการทำงานวิจัยของคุณมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผลงานวิจัยมีคุณมากยิ่งขึ้น

1. ทักษะในการสังเกต 

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย

เรามั่นใจว่าสมัยยังเป็นเด็กในวิชาวิทยาศาสตร์ คุณจะต้องเคยเรียนรู้เกี่ยวกับประวัตินักวิทยาศาสตร์บางท่านมาบ้างแล้ว อย่างเช่น เซอร์ ไอแซก นิวตัน ที่คิดค้นทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลกจากเพียงแค่สังเกตเห็นแอปเปิ้ลตก  หรือ อาร์คิมิดิส ที่สามารถคิดค้นการวัดปริมาตรของวัตถุจากการที่เขาลงแช่น้ำ ซึ่งคุณจะเห็นว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้มีเหมือนกันคือ การสังเกต 

การสังเกตจะช่วยคุณในการคิดหาหัวข้องานวิจัย รวมถึงจะช่วยคุณในการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่จะสามารถนำมาใช้สนับสนุนแนวคิดของคุณได้

2. ทักษะในการค้นคว้าข้อมูล

สิ่งที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงในการทำงานวิจัยทุกชิ้นคือการค้นคว้าข้อมูล ดังนั้นนี่เป็นทักษะที่คุณจำเป็นจะต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งการค้นคว้าข้อมูลตามห้องสมุด การค้นคว้าข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ ไปจนถึงการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่จะนำมาใช้อ้างอิงในงานวิจัยของคุณด้วย 

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย

การค้นคว้าข้อมูลจะสามารถช่วยคุณในการสร้างความรู้ใหม่ๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่การทำวิจัยของคุณเท่านั้น แต่หากคุณมีการฝึกฝนทักษะในการค้นคว้าข้อมูลอยู่เรื่อยๆ นั่นจะทำให้คุณสามารถนำไปใช้ในการจัดการกับปัญหาต่างๆ รวมถึงการวางแผนงาน และเปิดโอกาสในการประกอบอาชีพ

3. ทักษะในการคิดวิเคราะห์

ทักษะในการคิดวิเคราะห์ จะเป็นบทพิสูจน์ความรู้ความสามารถที่คุณมี หรือจากที่คุณได้เรียนรู้มาแล้ว เพราะทักษะในการคิดวิเคราะห์สำหรับการทำงานวิจัยนั้น คุณจะต้องมีการคิดวิเคราะห์อย่างมีแบบแผนตามหลักวิทยาศาสตร์ รวมถึงคุณจะต้องมีการใช้ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญในการอ้างอิงในงานวิจัยของคุณด้วยประกอบด้วย 

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย

ดังนั้นทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลไม่ได้หมายถึงเฉพาะการที่คุณต้องทำการวิเคราะห์ผลการวิจัยของคุณ ให้ออกมาอย่าถูกต้องและแม่นยำแล้ว แต่คุณจะต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัย หรือบทความจากแหล่งอื่นๆ เพื่อคุณจะสามารถนำมาใช้อ้างอิงในการสนับสนุนแนวคิดของคุณได้ เราปฏิเสธไม่ได้เลยใช่ไหมว่าทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลถือเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำวิจัยของคุณเป็นอย่างยิ่ง

4. ทักษะในการเขียน

การเขียนงานวิจัย คือการจดบันทึกทางวิชาการ ที่ได้อธิบายหลักการและเหตุผล รวมถึงขั้นตอน วิธีการในการวิจัย ไปจนถึงผลที่ได้จากวิจัย เพื่อให้ผู้ที่อ่านงานวิจัยของคุณ สามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ แนวความคิด ที่จะสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ อีกทั้งการเขียนงานวิจัยยังเป็นเหมือนการเผยแพร่การค้นคว้า และความรู้ใหม่ของคุณจากการทำงานวิจัยต่อสาธารณะด้วย

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย

ดังนั้นในการเขียนงานวิจัย นอกจากจะต้องมีกระบวนการในการเขียนที่ถูกต้องตามรูปแบบแล้ว คุณจะต้องนึกถึงผู้อ่านเป็นสำคัญ ผลงานวิจัยของคุณจะต้องอ่านและเข้าใจได้ง่าย หรือไม่ใช้ภาษาที่เป็นทางการมากเกินไป จนทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน คุณจะต้องเรียนรู้ และใช้ทักษะในการเขียน รวมถึงเลือกวิธีการเขียนให้ถูกต้อง

เช่น การเขียนเพื่อโน้มน้าวในส่วนที่คุณต้องการให้ผู้อ่านเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณ หรือการเขียนแบบพรรณนาเมื่อต้องการอธิบายหลักการและเหตุผล เป็นต้น 

5. ทักษะในการนำเสนอข้อมูล

เพราะสุดท้ายแล้วคุณจะต้องมีการนำเสนอข้อมูล ผลการวิจัยของคุณต่ออาจารย์ที่ปรึกษาและคณะกรรมการ ดังนั้น คุณควรจะต้องมีการเรียนรู้ทักษะในการพูด หรือการถ่ายทอดความรู้ที่คุณได้ต่อผู้อื่นด้วย นั่นรวมถึงการทำ Presentation ด้วยโปรแกรม Power Point หรือโปรแกรมอื่นๆ ที่คุณถนัด

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย_ความล้มเหลวการทำวิจัย

การนำเสนอข้อมูลวิจัย ก็เหมือนกับการที่คุณต้องอธิบายผลงานทางวิชาการของคุณ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจและเข้าถึงงานวิจัยของคุณอีกวิธีหนึ่งนอกจากการเขียน ซึ่งแน่นอนว่าการนำเสนอผลงานทางด้านวิชาการไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่าย ยิ่งคุณไม่ได้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญที่ผู้อื่นยอมรับด้วยแล้วนั่นจะยิ่งทำให้การนำเสนอของคุณยากขึ้นไปอีก

การนำเสนองานวิจัยของคุณจะต้องดูน่าเชื่อถือ ชัดเจน และมีความมั่นใจในข้อมูลที่เกี่ยวกับหัวข้อของคุณ เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณได้ทำการค้นคว้า ทดลอง และมีการสรุปผลมาเป็นอย่างดีแล้ว นั่นจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกเชื่อมั่นและคล้อยตามสิ่งที่คุณกำลังนำเสนอได้ดียิ่งขึ้น

ด้วยทักษะการทำงานวิจัยทั้ง 5 ข้อ ที่เราได้กล่าวมานั้น แม้จะฟังดูยาก แต่ในในความเป็นจริงแล้วคุณสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายๆ แค่เพียงคุณจะต้องมีการฝึกฝน เรียนรู้ และลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

แปลงานวิจัยเรื่องง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้

การแปลงานวิจัยเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะในการอ่าน และทักษะทางด้านภาษาเป็นอย่างมาก เนื่องจากการแปลงานวิจัยจะต้องใช้การเรียบเรียงที่เข้าใจง่าย และใช้ภาษาที่เหมาะสม

ดังนั้นการที่จะแปลวิจัยจะต้องใช้เวลา และใช้สมาธิเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยให้ได้งานวิจัยที่ดีที่สุด และเหลือเวลาเพียงพอในการตรวจสอบความถูกต้องของภาษา 

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

บทความนี้จะบอกเล่าถึง 3 เคล็ดลับที่จะช่วยให้การแปลงานวิจัยของคุณเป็นเรื่องง่าย และมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม

1. แบ่งเวลาในการแปลงานวิจัยให้เหมาะสม

ก่อนการจะทำงานต่างๆ คุณต้องมีการวางแผนก่อนการเริ่มทำงานทุกครั้ง คุณจะได้รู้ว่าคุณควรเริ่มต้นทำงานจากสิ่งไหนก่อนหรือหลัง และคุณต้องมีวินัยในการทำตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้คุณสามารถทำงานได้เสร็จทันเวลาที่กำหนด และท่านจะสามารถมีเวลาเหลือสำหรับการตรวจสอบ แก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับการทำงานของท่าน

การแบ่งเวลาในการแปลงานวิจัยให้เหมาะสม จะส่งผลให้การทำงานของคุณเสร็จไปตามแผนที่คุณได้กำหนดไว้ในเบื้องต้น คุณต้องรู้ว่าตนเองมีเวลาว่างในช่วงเวลาใดที่คุณจะสามารถทำการแปลวิจัยได้อย่างมีสมาธิ และไร้สิ่งรบกวน 

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

โดยเฉพาะท่านต้องรู้ว่าท่านเหมาะสมที่จะทำการแปลงานวิจัยในช่วงกลางวัน หรือกลางคืน ที่ท่านจะมีพลังงานเต็มร้อยมากพอที่จะทำงานของท่านให้มีประสิทธิภาพ และไม่เกิดข้อผิดพลาดจนทำให้การทำงานของท่านไม่ประสบผลสำเร็จ

ดังนั้นหากท่านสามารถแบ่งเวลาในการทำงานได้อย่างเหมาะสม ก็จะส่งผลให้ท่านสามารถที่จะทำงานเสร็จได้ทันตามเวลาที่กำหนด และยังเหลือเวลามากเพียงพอที่จะตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดในการทำงานของท่านได้อีกด้วย

2. อ่านข้อมูลในการแปลวิจัยให้เข้าใจ

การแปลงานวิจัยจำเป็นต้องใช้ทักษะการอ่านเป็นอย่างมาก เพราะท่านต้องอ่านรายงานวิจัยทั้งเล่ม เพื่อนำมาแปล และเรียบเรียงใหม่ให้เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น หากท่านไม่มีทักษะภาษาที่ดีมากนัก ท่านจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่จะช่วยให้ท่านสามารถแปลได้อย่างถูกต้อง และสมบูรณ์

ก่อนเริ่มต้นการแปลงานวิจัย ท่านควรที่จะมีการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับงานวิจัยที่ท่านกำลังจะแปล เพื่อให้ท่านมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับงานวิจัยเล่มนี้ จะส่งผลให้ท่านสามารถเข้าใจเนื้อหาของงานวิจัยที่ท่านกำลังจะแปลได้ง่ายมากขึ้น เพราะท่านมีความรู้มาบ้างแล้ว

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

การอ่านข้อมูลให้เข้าใจก่อนเริ่มลงมือเรียบเรียงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าหากท่านไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดอย่างแม่นยำแล้ว ก็อาจจะส่งผลให้การแปลของท่านเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย และจะส่งผลให้ท่านเสียเวลาในการที่จะต้องกลับมาแก้ไขงานของท่านใหม่

ดังนั้นท่านจึงจำเป็นที่จะต้องมีสมาธิ และเวลาที่มากเพียงพอ เพื่อที่จะทำการอ่านข้อมูล และเรียบเรียงการแปลงานวิจัยของท่านให้ถูกต้องมากที่สุด

3. นำไปให้เจ้าของภาษาช่วยตรวจสอบภาษา

หลังจากที่ท่านทำการแปลงานวิจัยเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว ท่านควรนำไปให้เจ้าของภาษาช่วยตรวจสอบ การใช้คำ ใช้สำนวนว่าถูกต้องหรือไม่ เพื่อให้งานของท่านถูกต้องมรากที่สุด เนื่องจากคำบางคำที่ท่านใช้ในการแปลงานวิจัย อาจจะเป็นคำที่ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในงานวิจัย แม้จะเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน

ข้อห้ามงานวิจัย_ทำงานวิจัย_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ บทคัดย่องานวิจัย_Abtract งานวิจัย_กรอบแนวคิดวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_ดุษฎีนิพนธ์_การทำดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_ความล้มเหลวงานวิจัย_อาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา_อาจารย์ที่ปรึกวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

เพราะภาษาแต่ละภาษา ก็จะมีคำที่ใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน เช่น ภาษาไทยที่มีภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาท่าทาง เป็นต้น 

ดังนั้นการให้เจ้าของภาษาช่วยตรวจสอบภาษาของท่านให้ จะทำให้ท่านรู้ว่างานวิจัยที่ท่านแปลมามีข้อผิดพลาดหรือไม่ มีส่วนใดที่ควรจะต้องปรับปรุง และแก้ไขหรือไม่ เพื่อให้การแปลงานวิจัยของท่านสมบูรณ์มากที่สุด

การแปลงานวิจัยเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป ท่านจำเป็นต้องมีการฝึกฝนในทักษะด้านการอ่าน การแปล และการเรียบเรียง เพื่อที่จะส่งผลให้ท่านสามารถแปลได้อย่างถูกต้อง และใช้คำที่เข้าใจง่าย น่าอ่าน เลือกใช้คำที่ยากจนเกินไป เพราะบางครั้งผู้ที่อ่านงานวิจัยของท่านอาจจะเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไปที่สนใจในเนื้อหาที่ท่านแปลมาเท่านั้น

ดังนั้นที่กล่าวมาทั้งหมดในเบื้องต้นนั้น จะเป็นแนวทางในการแปลงานวิจัยที่จะช่วยให้ท่านสามารถทำงานได้เสร็จทันเวลาที่กำหนด และได้งานที่มีคุณภาพมากเพียงพอ หากท่านสามารถนำเนื้อหาสาระของบทความนี้ ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานของท่านได้ ก็จะส่งผลให้ท่านสามารถทำงานได้ง่ายมายิ่งขึ้น

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ

3 ความหมายที่ซ่อนอยู่ Thesis

การทำ Thesis หลายครั้งที่ผู้วิจัยมือใหม่แต่ละท่านไม่รู้ความหมายของ Thesis นั้นจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับตัวผู้วิจัยมือใหม่

สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่จะทำให้ท่านรู้แล้วจะเข้าใจว่าการทำ Thesis มีผลดีอย่างไร และจะทำให้ท่านตกหลุมรักในการงานทำ Thesis แน่นอน

1. Thesis เป็นการพัฒนาตนเองอย่างหนึ่ง

การพัฒนาตนเองจากการทำ Thesis หลายท่านจะเปลี่ยนแปลงไปภายหลังจากการทำ Thesis เล่มนั้นจบแล้ว เพราะว่ากระบวนการคิดของผู้วิจัยมือใหม่หลายท่านจะเปลี่ยนแปลงไปหลังจากการทำ Thesis สำเร็จลุล่วงไปเรียบร้อยแล้ว

การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

เนื่องจากว่าการทำ Thesis เล่มดังกล่าวจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิด ความเข้าใจมุมมองของผู้วิจัยมือใหม่หลายท่าน หลายท่านได้ความรู้เพิ่มขึ้น และได้รูปแบบการแก้ไขปัญหาการทำงานวิจัย เพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันในการดำเนินชีวิต หรือการดำเนินธุรกิจ

“การทำ Thesis จะช่วยส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของผู้วิจัย ซึ่งหลายท่านหลังจากมองย้อนกลับไปแล้วทำให้รู้ว่าจุดเปลี่ยนของตนเองที่ทำให้ตนเองพัฒนาขึ้นนั้น คือ Thesis”

การทำ Thesis จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากที่ไม่รู้ว่าตนเองจะจบหรือไม่จบ เพราะว่าการแก้ไขปัญหาการทำ Thesis เป็นสิ่งที่มีความลำบากมาก และต้องใช้กำลังใจเยอะมาก เนื่องจากการแก้ไขแต่ละครั้งไม่ใช่ปริมาณขอบเขตงานที่จะแก้ไขได้โดยง่าย 

และอีกอย่างการแก้ไขและปรึกษางานกับอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอเหมือนกันในความยากลำบากที่หลังจากเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว อาจจะต้องมีกระบวนการการแก้ไขที่ต้องเปลี่ยนแปลง และทำใหม่

การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

แต่หากท่านผ่านกระบวนการเหล่านี้ไปได้ ท่านจะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อหลายท่านผ่านพ้นไปแล้ว แล้วมองย้อนกลับไปแล้วจะรู้สึกว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าจดจำ และเกิดรักช่วงเวลานี้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ตนเองเปลี่ยนแปลง และดีขึ้นในภายหลัง

2. Thesis เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อผู้อื่น 

บางครั้งหลายท่านไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำงาน Thesis จบไปนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เมื่อมีคนมาอ่านบทความที่ตีพิมพ์จาก Thesis เล่มดังกล่าว และรู้ว่ากระบวนการนี้สามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาของตนเอง หรือแก้ไขปัญหาในองค์กรของตนเองได้ 

การแก้ไขปัญหาจะทำให้คุณภาพชีวิตของบุคคลอื่นดีขึ้น หรือบุคคลนั้นที่นำเนื้อหาหรือวิธีการแก้ไขจาก Thesis ดังกล่าวนี้ไปใช้แล้วดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางวิชาการที่ส่งผลต่อการพัฒนา หรือการแก้ไขปัญหาชีวิตให้กับบุคคลอื่นเป็นอย่างยิ่ง

การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

ดังนั้นหากท่านเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ของการทำ Thesis และเมื่อคุณค่าของการทำ Thesis ดังกล่าวนี้สามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ ก็จะส่งผลให้ Thesis นี้มีคุณค่า มีความหมายต่อบุคคลอื่น และบุคคลนั้นจะรู้สึกขอบคุณตัวท่านเป็นอย่างมากที่พัฒนางานและเขียนงาน Thesis ออกมาได้มีความหมาย และสามารถแก้ไขปัญหาให้เขาหรือเธอได้

3.Thesis เป็นการฝึกทำวิจัยที่จะช่วยพัฒนารูปแบบการแก้ไขปัญหา

หลายท่านหลังจากทำ Thesis จบแล้ว รู้สึกว่าก่อนทำและหลังทำตนเองเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก  เนื่องจากว่าการทำ Thesis จะพัฒนารูปแบบกระบวนการคิดไม่ให้เหมือนเดิมอีกต่อไป 

เนื่องจากจะสามารถพัฒนาให้ผู้วิจัยนั้นรู้จักเป้าหมายของปัญหา การจำกัดขอบเขตของปัญหา การคำนึงถึงทฤษฎี หรือมุมมองแง่คิดที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการจำกัดขอบเขตในการแก้ไขปัญหา รวมถึงรูปแบบแนวคิด หรือทฤษฎีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาได้

ดังนั้นเมื่อท่านทำการศึกษาค้นคว้า Thesis จบไปแล้วจะทำให้ท่านรูปสึกว่ารูปแบบกระบวนการคิดของท่านนั้นเปลี่ยนแปลงไป คิดเป็นอันดับมากขึ้น คิดถึงกระบวนการทำงาน Thesis ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ หรือทำงานในชีวิตประจำวันนั้นมากขึ้น 

การทำ Thesis_การทำ Thesis (ธีสิส)_การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

ซึ่งส่งผลให้หลายครั้งผู้วิจัยมือใหม่ที่เรียนจบหรือทำ Thesis จบไปแล้ว รู้สึกว่าตนเองได้รับตวามรู้มากขึ้นมีการพัฒนาที่ดีขึ้น อีกทั้งมุมมองต่อสิ่งต่างๆนั้นรู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก 

สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นความหมายที่สะท้อนอยู่จากการทำ Thesis ซึ่งหลายท่านเมื่อมองย้อนกลับไป จึงรู้สึกว่า Thesis นั้นให้อะไรที่มากกว่าการทำงานวิจัยเป็นทั่วไป และรู้สึกหลงรักช่วงเวลาที่ผ่านพ้นอุปสรรคดังกล่าว และรักช่วงเวลาที่จะทำให้งานวิจัยดังกล่าวนี้สำเร็จลุล่วงไปได้

อีกทั้งการทำ Thesis จะส่งผลให้เกิดคุณค่าต่อผู้อื่นไม่ใช้เพียงแค่คุณค่าต่อตนเอง นี่คือความหมายที่ซ่อนอยู่

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ

4 ปัจจัยหลัก ในการทำงานวิจัยให้เสร็จตรงเวลา

การทำงานวิจัยให้สำเร็จตรงเวลา เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะทำให้ผู้วิจัยมือใหม่แต่ละท่านนั้น สามารถส่งเล่มงานวิจัยให้ทันตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดได้

เนื่องจากมหาวิทยาลัยนั้นจะมีขอบเขตระยะเวลาที่ตายตัว เพื่อที่จะเร่งรัดให้นักศึกษาแต่ละท่านนั้น ทำงานวิจัยให้สำเร็จลุล่วงไปตามแผนงานที่มหาวิทยาลัยกำหนด เพื่อที่จะสามารภปฏิบัติแผนงานตามกระบวนการขอจบการศึกษาตามที่มหาวิทยาลัยนั้นวางแผนไว้ได้

การทำงานวิจัยที่สำคัญที่สามารถส่งผลให้สำเร็จได้ตรงเวลานั้น สิ่งสำคัญมีอยู่ 4 ปัจจัยที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้

1. มีการวางแผนที่ดี

การวางแผนการทำงานวิจัยที่ดีจะส่งผลให้ท่านสามารถทำงานวิจัยสำเร็จตรงขอบเขตระยะเวลาที่มหาวิทยาลัยกำหนด และจะส่งผลให้ท่านไม่ต้องมากังวล หากว่างานวิจัยไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ถ้าท่านมีการวางแผนงานที่ดี

โดยเฉพาะวางแผนงานเผื่อเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถกำหนดสถานการณ์ได้ การวางแผนที่ดี จะช่วยให้ท่านสามารถที่จะมีเวลาเหลือเพียงพอที่จะแก้ไขสถานการณ์ เพื่อที่จะเร่งรัดการทำงานวิจัยให้เสร็จไปตามแผนงานที่กำหนดได้ 

การวางแผนงานที่ดีจะต้องคำนึงถึงปริมาณเนื้อหางานที่จะต้องใช้ในการเขียนแต่ละบท โดยเฉพาะเนื้อหางานวิจัยส่วนใหญ่แล้วจะมี 5 บทซึ่งแต่ละบทจะใช้เวลาไม่เท่ากัน 

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

การวางแผนงานที่ดีจะต้องมีการกำหนดตารางระยะเวลาการทำงาน โดยระบุจำนวนวัน หรือจำนวนเดือน ที่จำเป็นจะต้องใช้ในการทำแต่ละบท ซึ่งจะทำให้ท่านสามารถที่จะโฟกัส และดำเนินการไปตามแผนงานที่วางแผนไว้ได้ 

การวางแผนงานที่ดีจะทำให้ท่านสามารถ connect กับอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อที่จะประสานงานให้เป็นไปตามแผนงานร่วมกัน เนื่องจากการทำวิจัยนั้นไม่ใช่เพียงแต่ว่าฝ่ายท่านเพียงอย่างเดียวที่จะต้องวางแผนการทำงานวิจัย แต่ทว่ายังมีฝั่งของอาจารย์ที่ปรึกษาที่จำเป็นจะต้องวางแผนการให้คำปรึกษาแก่ผู้วิจัยทุกท่านด้วย

ดังนั้นการวางแผนงานที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้งานออกมาเสร็จตรงตามกำหนด และออกมามีประสิทธิภาพตามกำหนดกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย

2. มีข้อมูลเพียงพอ

การที่จะทำงานวิจัยแต่ละครั้ง แต่ละเล่มนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการสืบค้นข้อมูลที่เพียงพอในการที่จะนำมาสังเคราะห์หรืออ้างอิง 

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

โดยเฉพาะการสืบค้นแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่ปัจจุบันมีการนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะการที่จะสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เผยแพร่ทางฐานข้อมูลที่เป็นของมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งได้รับความนิยมในการที่จะบันทึกไฟล์ เพื่อนำมาศึกษาและสังเคราะห์ในภายหลัง 

การเก็บรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ จะส่งผลให้ท่านมีข้อมูลเพียงพอในการที่จะทำการสังเคราะห์ตัวแปรหรือขอบเขตงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการสังเคราะห์แนวคิดที่จะใช้ในการวิจัย เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่ท่านต้องเตรียมข้อมูลให้เพียงพอก่อนที่จะนำมาสังเคราะห์ 

เนื่องจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจำเป็นที่จะต้องสืบค้นข้อมูลจากหลากหลายแหล่งอ้างอิงหรือหลากหลายแหล่งของฐานข้อมูล

การเก็บรวบรวมข้อมูลจะดีหรือไม่ดีอย่างไรขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่ท่านสามารถเก็บรวบรวมได้ ดังนั้นข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ถือเป็นวัตถุดิบที่ท่านจำเป็นจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยของท่าน

3. มีวินัยสม่ำเสมอ

การทำงานวิจัยเป็นสิ่งที่จะต้องมีการวางแผน และมีการเก็บรวบรวมข้อมูล สืบค้นข้อมูล เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด 

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

สิ่งสำคัญที่อยากจะเน้นย้ำให้ท่านเข้าใจว่า การทำงานวิจัยนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการใช้วินัยในการที่จะทำอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าท่านต้องการที่จะทำสำเร็จให้เสร็จภายในสัปดาห์เดียวหรือเดือนเดียวจะเป็นไปได้ ซึ่งไม่สามารถเป็นไปได้ 

เนื่องจากว่าการทำงานวิจัยนั้น จำเป็นที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการที่จะสังเคราะห์หรือเรียบเรียงเนื้อหาผลงานออกมาให้เป็นวิชาการ และเป็นสำนวนของผู้วิจัยเอง

ดังนั้นการใช้ระยะเวลาดังกล่าว ไม่สามารถที่จะเร่งรัดให้เสร็จภายในทีเดียวได้ การใช้วินัยเข้ามาทำงานตามแผนงานที่กำหนด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านต้องฝึกฝนและทำอย่างสม่ำเสมอ

4. มีความอดทน

การใช้ความอดทนเป็นสิ่งที่อยากจะย้ำเตือนให้ผู้วิจัยมือใหม่แต่ละท่านได้ตระหนักถึงว่า การทำงานวิจัยแต่ละครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น มักจะเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ

โดยเฉพาะการขอคำปรึกษาจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วต้องนำคำแนะนำดังกล่าวมาแก้ไขนั้น บางครั้งอาจจะเป็นคำแนะนำที่ไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของท่าน จึงส่งผลให้ท่านจำเป็นต้องใช้ความอดทนในการที่จะแก้ไข เพื่อให้เป็นไปตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย
อ้างอิงภาพ : www.pexels.com

แต่ทว่าสิ่งที่เป็นความอดทนดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ใช้ว่าอดทนเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่มันจำเป็นที่จะต้องใช้ความอดทนอย่างต่อเนื่องไม่สามารถที่จะระบุจำนวนครั้งที่ต้องใช้ในความอดทนดังกล่าวได้

ดังนั้นความอดทนที่ท่านต้องฝึกฝนและพัฒนา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านต้องปลูกฝังให้ตนเองมีวิจัยและมีความอดทนพร้อมกันไปด้วยกับการทำงานวิจัยของท่าน สิ่งดังกล่าวที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ เป็นปัจจัยที่จะส่งผลให้ท่านสามารถทำงานวิจัยให้สำเร็จลุล่วงไปได้

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

เผยเคล็ดลับการ Present งานวิจัยให้สะกดใจผู้ฟัง

การ Present งานวิจัยให้สะกดใจผู้ฟัง ผู้วิจัยมือใหม่ส่วนใหญ่แล้วเวลาสอบป้องกันวิทยานิพนธ์มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการสรุปผลการวิจัย ในการ Present นำเสนอให้ชัดเจนและตรงประเด็น ให้ตอบคำถามจากคณะกรรมการได้อย่างไร

แนะนำเทคนิคการ Present งานวิจัยให้คณะกรรมการหรือผู้ฟัง สามารถเข้าใจเนื้อหางานวิจัย ความสำคัญของงานวิจัยที่เรานำเสนอได้อย่างชัดเจน และมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนที่ 1 คือ นำเสนอปัญหาที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของการทำวิจัย

การทำวิจัยจำเป็นที่จะต้องมีปัญหาที่เป็นที่มาที่ไปของการตั้งต้นทำการศึกษาวิจัยครั้งนี้ โดยปัญหาดังกล่าวนั้นจะต้องมีผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรังนี้จะต้องเป็นปัญหาในระดับจังหวัดหรือระดับประเทศชาติ หรือส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คน

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

การทำปัญหาดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่จะนำมาเสนอ เพื่อชี้ให้คณะกรรมการหรือผู้ฟังเข้าใจว่าปัญหานี้คืออะไร โดยการสรุปเป็นคีย์เวิร์ดสั้นๆ เพียงแค่ไม่เกิน 2-3 บรรทัด อาจจะนำรูปภาพมาประกอบหรืออินโฟกราฟิกสรุปประกอบ เพื่อให้สามารถเห็นประเด็นของปัญหาได้อย่างตรงไปตรงมา

เราอาจจะนำเสนอโดยการใช้คีย์เวิร์ดที่สะท้อนปัญหาเพียงสั้นๆไม่กี่คำ แล้วใช้การอธิบาย Present ของตัวผู้บรรยาย เพื่อนำเสนอโดยใช้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ ไม่เน้นการนำเสนอเพียงแค่ว่าเป็น Text ข้อความล้วนๆ เพียงอย่างเดียว 

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

เนื่องจากการนำเสนอที่ดี และมีประสิทธิภาพมีผลการวิจัยออกมาแล้วว่าผู้ฟังนั้นจะให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นรูปภาพ หรือสิ่งที่เป็นวิดีโอเคลื่อนไหว

หากท่านสามาถสร้างสิ่งที่เป็นรูปภาพหรือวิดีโอเคลื่อนไหวเพื่อนำเสนอได้ จะส่งผลให้การ Present งานวิจัยของท่านมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพูดใส่ทำนอง โทนเสียงที่ใส่อารมณ์ความรู้สึกที่จริงจัง และชักจูงให้ผู้ฟังเกิดการคล้อยตาม 

จะส่งผลให้คณะกรรมการนั้นมีความสนใจในประเด็นปัญหาของท่าน และผลการวิจัยของท่านจะน่าฟัง และน่าติดตามมากยิ่งขึ้น

ขั้นตอนที่ 2 คือ ยกกรณีตัวอย่างของปัญหา

การยกกรณีตัวอย่างของปัญหาขึ้นมาประกอบการนำเสนอนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าการยกกรณีตัวอย่างที่ปัญหานั้น ส่งผลกระทบหากว่าไม่ทำการศึกษาวิจัย เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้นจะมีผลเสียร้ายแรงอย่างไร เป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้ฟังนั้นเข้าใจได้ว่าปัญหาหลักนี้มีผลกระทบยิ่งใหญ่ หรือมากน้อยเพียงใด

เพื่อที่จะชี้ชัดว่าปัญหาดังกล่าวเป็นสิ่งที่หากไม่ทำการศึกษาวิจัยแล้ว จะส่งเสียในระยะยาว หรือเป็นสิ่งที่จะส่งผลเสียในระดับมหภาค เพื่อที่จะเน้นย้ำว่าปัญหาของการวิจัยที่เราทำการศึกษาอยู่ในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องได้รับความสำคัญที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างทันที

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

ดังนั้นการศึกษาการวิจัยครั้งนี้ จึงมีที่มาที่ไปที่สำคัญ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และถ้าหากสามารถยกกรณีตัวอย่างขึ้นมาได้ เพื่อเปรียบเทียบหรือเข้าถึงได้ง่าย จะทำให้ผู้ฟังหรือคณะกรรมการนี้สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าท่านนั้นมีที่ส่วนร่วมในปัญหานั้น และเล็งเห็นถึงปัญหานั้นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้

ขั้นตอนที่ 3 คือ ผลการวิจัยนี้แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร

หลังจากยกประเด็นปัญหาขึ้นมาแล้ว ผลการวิจัยที่ท่านทำการศึกษาวิจัยนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างไรบ้าง เป็นสิ่งที่สำคัญที่ท่านจำเป็นจะต้องยกข้อมูลมานำเสนอสรุปเป็นแผนภาพอินโฟกราฟิก หรือรูปภาพที่เข้าใจได้ง่าย 

โดยใช้คำที่สั้น กระชับ ชัดเจน และสื่อสารได้อย่างตรงประเด็นให้กับผู้ฟังหรือคณะกรรมการเข้าใจได้เลยว่าปัญหาของการวิจัยครั้งนี้สามารถใช้ผลการวิจัยของท่านนั้นแก้ไขได้อย่างไรบ้าง

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_การทำ Thesis (ธีสิส) _การทำธีสิส_การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย_งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_ตั้งหัวข้อเรื่องงานวิจัย_การตั้งหัวข้อวิจัย_เทคนิคตั้งหัวข้อวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การเขียนบทความวิจัย_บทความวิจัย_ งานทีสิส_วางแผนงานทีสิส_เขียนโครงร่างงานวิจัย_โครงร่างงานวิจัย_แปลบทความวิจัย_แปลงานวิจัย_เทคนิคแปลงานวิจัย_วางแผนงานวิจัย_เทคนิคทำงานวิจัย_เทคนิคการทำ IS_ผลงานวิชาการ_Present งานวิจัย

โดยเฉพาะผลการวิจัยของท่านนี้ มีกระบวนการการศึกษา มีวัตถุประสงค์การวิจัยอย่างไร และผลการวิจัยของท่านสามารถตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยของท่านนั้นได้อย่างไร สามารถแก้ไขปัญหาการวิจัยดังกล่าวนี้ได้หรือไม่ หากท่านสามารถที่จะนำเสนอด้วยรูปภาพได้ ก็สามารถกระทำได้

เนื่องจากว่าการนำเสนอด้วยรูปภาพเป็นการให้ผลการวิจัยของท่านนั้น มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และจะทำให้การ Present งานวิจัยของท่านนั้นมีประสิทธิภาพ และมีความน่าสนใจมากกว่าบุคคลท่านอื่น ที่มีการ Present ที่ไม่มีการใช้รูปภาพประกอบการนำเสนอ 

หากท่านสามารถนำเทคนิค Present งานวิจัยทั้ง 3 ขั้นตอนนี้มาประยุกต์ใช้ในการที่จะ Present งานวิจัย หรือการทำงานในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้การนำเสนองานต่อหน้าคณะกรรมการ หรือผู้ฟัง นั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)