การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Review of Literature) เป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัยเชิงวิชาการ เพราะเป็นการศึกษาค้นคว้าและสังเคราะห์ผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวกับประเด็นที่จะวิจัย เพื่อชี้ให้เห็นสถานภาพขององค์ความรู้เกี่ยวกับแนวความคิด ระเบียบวิธีการวิจัยก่อนที่จะลงมือวิจัย การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีประโยชน์ต่อผู้วิจัยหลายประการ ดังนี้

1. ช่วยให้เกิดความเข้าใจในปัญหาการวิจัยและขอบเขตของงานวิจัยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจปัญหาการวิจัยและขอบเขตของงานวิจัยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้

  • ช่วยให้ผู้วิจัยระบุปัญหาการวิจัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยเห็นภาพรวมขององค์ความรู้เกี่ยวกับประเด็นที่จะวิจัย ว่ามีการศึกษาประเด็นนี้มาอย่างไรบ้าง มีแนวคิดทฤษฎีใดที่เกี่ยวข้องบ้าง และยังมีประเด็นใดที่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมหรือไม่ จากข้อมูลเหล่านี้ ผู้วิจัยจะสามารถระบุปัญหาการวิจัยที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าต้องการศึกษาอะไร ประเด็นใดที่ยังไม่ชัดเจนหรือต้องการศึกษาเพิ่มเติม
  • ช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดขอบเขตของงานวิจัยได้เหมาะสมยิ่งขึ้น การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยเห็นขอบเขตขององค์ความรู้เกี่ยวกับประเด็นที่จะวิจัย ว่ามีการศึกษาประเด็นนี้ในขอบเขตกว้างหรือแคบเพียงใด จากข้อมูลเหล่านี้ ผู้วิจัยจะสามารถกำหนดขอบเขตของงานวิจัยของตนเองให้เหมาะสมกับความรู้ที่มีอยู่และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ สมมติว่าผู้วิจัยต้องการทำวิจัยเรื่อง “ผลกระทบของการใช้สื่อออนไลน์ต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค” จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบว่ามีงานวิจัยพบว่าการใช้สื่อออนไลน์มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคที่ใช้สื่อออนไลน์มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากกว่าผู้บริโภคที่ไม่ใช้สื่อออนไลน์ นอกจากนี้ การใช้สื่อออนไลน์ยังอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในด้านต่างๆ เช่น การเลือกสินค้า การเลือกราคา และการตัดสินใจซื้อ

ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจปัญหาการวิจัยและขอบเขตของงานวิจัยที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ปัญหาการวิจัยคือ การใช้สื่อออนไลน์ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคอย่างไร ขอบเขตของงานวิจัยคือ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้สื่อออนไลน์กับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นไปที่การซื้อสินค้าออนไลน์

หากผู้วิจัยไม่ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจไม่สามารถระบุปัญหาการวิจัยและกำหนดขอบเขตของงานวิจัยได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้งานวิจัยที่ทำขึ้นอาจไม่มีคุณภาพหรือไม่น่าเชื่อถือ

2. ช่วยหาแนวทางในการกำหนดสมมติฐานและกรอบแนวคิดการวิจัย

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยหาแนวทางในการกำหนดสมมติฐานและกรอบแนวคิดการวิจัยได้ดังนี้

แนวทางในการกำหนดสมมติฐานการวิจัย

สมมติฐานการวิจัยเป็นข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อทดสอบในการศึกษาวิจัย สมมติฐานการวิจัยที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  • สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย สมมติฐานการวิจัยควรสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย โดยตอบคำถามการวิจัยที่ระบุไว้อย่างชัดเจน
  • สามารถทดสอบได้ สมมติฐานการวิจัยควรสามารถทดสอบได้โดยใช้วิธีการวิจัยที่เหมาะสม
  • สอดคล้องกับทฤษฎีและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง สมมติฐานการวิจัยควรสอดคล้องกับทฤษฎีและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสมมติฐาน

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่อาจนำมาเป็นแนวทางในการตั้งสมมติฐานการวิจัยได้ เช่น

  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค อาจนำมาตั้งสมมติฐานการวิจัยได้ว่า การใช้สื่อออนไลน์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค
  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อต่อพฤติกรรมผู้บริโภค อาจนำมาตั้งสมมติฐานการวิจัยได้ว่า การใช้สื่อออนไลน์มีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

ตัวอย่างสมมติฐานการวิจัยที่อาจตั้งขึ้นจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • สมมติฐานหลัก: การใช้สื่อออนไลน์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค
  • สมมติฐานย่อย: การใช้สื่อออนไลน์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
  • สมมติฐานย่อย: การใช้สื่อออนไลน์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเลือกสินค้าของผู้บริโภค

แนวทางในการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย

กรอบแนวคิดการวิจัยเป็นภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่กำหนดขึ้นจากแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง โดยกรอบแนวคิดการวิจัยที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  • แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ อย่างชัดเจน
  • สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย
  • สอดคล้องกับทฤษฎีและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่อาจนำมาเป็นแนวทางในการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยได้ เช่น

  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค อาจนำมากำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยได้ว่า พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ เช่น ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางสังคม และปัจจัยสิ่งแวดล้อม
  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อต่อพฤติกรรมผู้บริโภค อาจนำมากำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยได้ว่า สื่ออาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในด้านต่างๆ เช่น ทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรม

ตัวอย่างกรอบแนวคิดการวิจัยที่อาจกำหนดขึ้นจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • กรอบแนวคิดการวิจัย: การใช้สื่อออนไลน์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวอาจผ่านกลไกทางจิตวิทยาต่างๆ เช่น การรับรู้ ทัศนคติ และเจตนา

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการวิจัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดสมมติฐานและกรอบแนวคิดการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

3. ช่วยหาแนวทางในการกำหนดตัวแปรและเครื่องมือการวิจัย

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยผู้วิจัยหาแนวทางในการกำหนดตัวแปรและเครื่องมือการวิจัยได้ดังนี้

แนวทางในการกำหนดตัวแปรการวิจัย

ตัวแปรการวิจัย คือ ลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต หรือเหตุการณ์ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือวัดค่าได้ ตัวแปรการวิจัยสามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่

  • ตัวแปรต้น คือ ตัวแปรที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาว่ามีผลต่อตัวแปรตามหรือไม่
  • ตัวแปรตาม คือ ตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไปตามตัวแปรต้น
  • ตัวแปรแทรกซ้อน คือ ตัวแปรอื่นที่อาจส่งผลต่อตัวแปรตามนอกเหนือจากตัวแปรต้น

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่อาจนำมาเป็นแนวทางในการกำหนดตัวแปรการวิจัยได้ เช่น

  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค อาจนำมากำหนดตัวแปรต้นได้ว่า การใช้สื่อออนไลน์ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางสังคม และปัจจัยสิ่งแวดล้อม
  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อต่อพฤติกรรมผู้บริโภค อาจนำมากำหนดตัวแปรต้นได้ว่า เนื้อหาสื่อ รูปแบบสื่อ และระยะเวลาในการรับสื่อ

ตัวอย่างตัวแปรการวิจัยที่อาจกำหนดขึ้นจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • ตัวแปรต้น: การใช้สื่อออนไลน์
  • ตัวแปรตาม: พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค
  • ตัวแปรแทรกซ้อน: เพศ อายุ รายได้ และระดับการศึกษา

แนวทางในการกำหนดเครื่องมือการวิจัย

เครื่องมือการวิจัย คือ วิธีการที่ใช้ในการวัดค่าตัวแปรการวิจัย เครื่องมือการวิจัยสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • เครื่องมือวัดเชิงปริมาณ คือ เครื่องมือที่ใช้วัดค่าตัวแปรการวิจัยที่เป็นตัวเลข เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า

4. ช่วยหาแนวทางในการกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยผู้วิจัยหาแนวทางในการกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างได้ดังนี้

แนวทางในการกำหนดประชากร

ประชากร คือ กลุ่มบุคคลหรือสิ่งของทั้งหมดที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ ประชากรในการวิจัยสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • ประชากรเชิงนามธรรม คือ กลุ่มบุคคลหรือสิ่งของที่ไม่สามารถระบุจำนวนได้อย่างชัดเจน เช่น ประชากรโลก ประชากรไทย ประชากรผู้บริโภค
  • ประชากรเชิงรูปธรรม คือ กลุ่มบุคคลหรือสิ่งของที่สามารถระบุจำนวนได้อย่างชัดเจน เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยไทย พนักงานบริษัทเอกชน ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค อาจระบุประชากรได้ว่า ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์
  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อต่อพฤติกรรมผู้บริโภค อาจระบุประชากรได้ว่า ผู้รับสื่อออนไลน์

ตัวอย่างประชากรที่อาจกำหนดขึ้นจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • ประชากร: ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย

แนวทางในการกำหนดกลุ่มตัวอย่าง

กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มย่อยของประชากรที่นำมาศึกษา การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ดีจะช่วยให้การวิจัยมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ในการกำหนดกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ความสอดคล้องกับประชากร กลุ่มตัวอย่างต้องสอดคล้องกับประชากรที่ศึกษา เพื่อให้ผลการศึกษาสามารถสรุปได้กับประชากรทั้งหมด
  • ความน่าเชื่อถือ กลุ่มตัวอย่างต้องมีความน่าเชื่อถือเพียงพอ เพื่อให้ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือ
  • ความประหยัด การเลือกกลุ่มตัวอย่างควรคำนึงถึงความประหยัดในการจัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค อาจระบุกลุ่มตัวอย่างได้ว่า ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย เพศชาย อายุ 20-30 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี
  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อต่อพฤติกรรมผู้บริโภค อาจระบุกลุ่มตัวอย่างได้ว่า ผู้รับสื่อออนไลน์ในประเทศไทย เพศหญิง อายุ 18-25 ปี ระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย

ตัวอย่างกลุ่มตัวอย่างที่อาจกำหนดขึ้นจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • กลุ่มตัวอย่าง: ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย เพศชาย อายุ 20-30 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี จำนวน 300 คน

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างได้อย่างเหมาะสม

5. ช่วยหาแนวทางในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยผู้วิจัยหาแนวทางในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลได้ดังนี้

แนวทางในการรวบรวมข้อมูล

การรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย ข้อมูลที่ดีจะช่วยให้การวิจัยมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ในการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ความเหมาะสมกับวิธีการวิจัย วิธีการรวบรวมข้อมูลต้องเหมาะสมกับวิธีการวิจัยที่เลือกใช้
  • ความน่าเชื่อถือ วิธีการรวบรวมข้อมูลต้องมีความน่าเชื่อถือเพียงพอ เพื่อให้ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือ
  • ความประหยัด วิธีการรวบรวมข้อมูลควรคำนึงถึงความประหยัดในการจัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค อาจระบุวิธีการรวบรวมข้อมูลได้ว่า แบบสอบถาม การสังเกต และการสัมภาษณ์
  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อต่อพฤติกรรมผู้บริโภค อาจระบุวิธีการรวบรวมข้อมูลได้ว่า แบบทดสอบ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์เนื้อหา

ตัวอย่างวิธีการรวบรวมข้อมูลที่อาจกำหนดขึ้นจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • วิธีการรวบรวมข้อมูล: แจกแบบสอบถามให้ผู้ตอบแบบสอบถามกรอก
  • วิธีการรวบรวมข้อมูล: สังเกตพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค
  • วิธีการรวบรวมข้อมูล: สัมภาษณ์ผู้ซื้อออนไลน์

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจวิธีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลได้อย่างเหมาะสม

แนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลที่ดีจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตอบคำถามการวิจัยได้

ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ความเหมาะสมกับวิธีการวิจัย วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลต้องเหมาะสมกับวิธีการวิจัยที่เลือกใช้
  • ความถูกต้อง วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลต้องถูกต้อง เพื่อให้ผลการวิจัยมีความถูกต้อง
  • ความน่าเชื่อถือ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลต้องมีความน่าเชื่อถือเพียงพอ เพื่อให้ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือ

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค อาจระบุวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลได้ว่า สถิติเชิงปริมาณ
  • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อต่อพฤติกรรมผู้บริโภค อาจระบุวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลได้ว่า การวิเคราะห์เนื้อหา

ตัวอย่างวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่อาจกำหนดขึ้นจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา
  • วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน
  • วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล: การวิเคราะห์เนื้อหา

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างเหมาะสม

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถทำได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น ตำรา หนังสือ วารสาร รายงานการวิจัย และเอกสารอื่นๆ โดยผู้วิจัยควรพิจารณาเลือกแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมกับประเด็นการวิจัยของตนเอง

ในการดำเนินการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

  1. กำหนดขอบเขตของการศึกษา โดยระบุประเด็นการวิจัยอย่างชัดเจนว่าต้องการศึกษาอะไร ครอบคลุมขอบเขตกว้างหรือแคบเพียงใด
  2. รวบรวมข้อมูล โดยค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
  3. วิเคราะห์ข้อมูล โดยอ่านและทำความเข้าใจข้อมูลอย่างละเอียด สังเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน และสรุปข้อมูลที่สำคัญ
  4. นำเสนอผลการวิจัย โดยเขียนรายงานการวิจัยหรือนำเสนอผลการวิจัยในที่ประชุมวิชาการ

ตัวอย่างการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

สมมติว่าผู้วิจัยต้องการทำวิจัยเรื่อง “ผลกระทบของการใช้สื่อออนไลน์ต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค” ผู้วิจัยจำเป็นต้องศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเด็นการวิจัยนี้ โดยผู้วิจัยอาจศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับ

  • พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค
  • ผลกระทบของสื่อต่อพฤติกรรมผู้บริโภค
  • การใช้สื่อออนไลน์

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจพบว่ามีงานวิจัยพบว่าการใช้สื่อออนไลน์มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคที่ใช้สื่อออนไลน์มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากกว่าผู้บริโภคที่ไม่ใช้สื่อออนไลน์ นอกจากนี้ การใช้สื่อออนไลน์ยังอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในด้านต่างๆ เช่น การเลือกสินค้า การเลือกราคา และการตัดสินใจซื้อ

ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจปัญหาการวิจัยและขอบเขตของงานวิจัยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดสมมติฐานและกรอบแนวคิดการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัยเชิงวิชาการ ผู้วิจัยควรให้ความสำคัญกับการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้งานวิจัยของตนมีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ