การวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะครูผู้เชี่ยวชาญ (คศ.4) โดยงานวิจัย R&D ที่ดีจะต้องสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของครูในการแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งการเขียนงานวิจัย R&D ให้ได้คุณภาพนั้น ครูผู้เขียนจำเป็นต้องมีความรู้และทักษะในการเขียนงานวิจัยเป็นอย่างดี บทความนี้จึงขอนำเสนอ เคล็ดลับในการเขียนงานวิจัย R&D สู่ครูผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้
1. เลือกหัวข้อที่สอดคล้องกับปัญหาการเรียนรู้
การเลือกหัวข้องานวิจัย R&D ที่ดีควรเป็นหัวข้อที่สอดคล้องกับปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนในชั้นเรียน ซึ่งครูผู้เขียนควรศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างละเอียด เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม โดยอาจเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมของผู้เรียน ทัศนคติของผู้เรียน เป็นต้น
ตัวอย่างปัญหาการเรียนรู้ที่พบบ่อยในชั้นเรียน เช่น
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์
- ขาดความสนใจใฝ่รู้
- ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์
- ขาดทักษะการแก้ปัญหา
- ขาดทักษะการสื่อสาร
- ขาดทักษะการทำงานร่วมกัน
ครูผู้เขียนควรเลือกหัวข้องานวิจัยที่สอดคล้องกับปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนในชั้นเรียน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- ความสนใจและความถนัดของครูผู้เขียน
- ความรู้และทักษะของครูผู้เขียน
- ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอยู่
- ระยะเวลาและเงื่อนไขในการดำเนินการวิจัย
ตัวอย่างหัวข้องานวิจัย R&D ที่สอดคล้องกับปัญหาการเรียนรู้ เช่น
- การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
- การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้แบบเกมเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
- การพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบดิจิทัลเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สู่การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ครูผู้เขียนควรพิจารณาเลือกหัวข้องานวิจัยที่สอดคล้องกับปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนในชั้นเรียนอย่างรอบคอบ เพื่อให้งานวิจัยที่เขียนขึ้นสามารถแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
2. กำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานที่ชัดเจน
วัตถุประสงค์และสมมติฐานเป็นหัวใจสำคัญของงานวิจัย R&D โดยวัตถุประสงค์จะต้องระบุถึงสิ่งที่ต้องการจะศึกษาหรือหาคำตอบ ส่วนสมมติฐาน คือการคาดการณ์ว่าผลการศึกษาจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งครูผู้เขียนควรกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานให้ชัดเจน เพื่อให้การวิจัยดำเนินไปอย่างมีทิศทางและสามารถตอบคำถามที่วางไว้ได้
วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ของการวิจัย R&D ควรระบุถึงสิ่งที่ต้องการจะศึกษาหรือหาคำตอบ โดยวัตถุประสงค์ที่ดีจะต้องมีลักษณะดังนี้
- ชัดเจนและกระชับ
- ครอบคลุมประเด็นที่ศึกษา
- สามารถวัดผลได้
ตัวอย่างวัตถุประสงค์ของการวิจัย R&D เช่น
- เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
- เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้แบบเกมเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
- เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้แบบดิจิทัลกับสื่อการเรียนรู้แบบดั้งเดิม
สมมติฐาน
สมมติฐานของการวิจัย R&D เป็นการคาดการณ์ว่าผลการศึกษาจะออกมาเป็นอย่างไร โดยสมมติฐานที่ดีจะต้องมีลักษณะดังนี้
- สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย
- เป็นไปได้และสามารถทดสอบได้
ตัวอย่างสมมติฐานของการวิจัย R&D เช่น
- นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบปกติ
- นวัตกรรมการเรียนรู้แบบเกมสามารถส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้
- นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้แบบดิจิทัลจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้แบบดั้งเดิม
ครูผู้เขียนควรกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานให้ชัดเจน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- หัวข้องานวิจัย
- ข้อมูลพื้นฐานที่ศึกษาค้นคว้ามา
- ความรู้และทักษะของครูผู้เขียน
ครูผู้เขียนควรกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานให้สอดคล้องกับกัน เพื่อให้งานวิจัยที่เขียนขึ้นสามารถตอบคำถามที่วางไว้ได้
3. ออกแบบการวิจัยที่เหมาะสม
การออกแบบการวิจัยที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ข้อมูลและผลการวิจัยที่มีคุณภาพ โดยครูผู้เขียนสามารถเลือกรูปแบบการวิจัยได้หลากหลายตามลักษณะของปัญหาการเรียนรู้ เช่น การวิจัยเชิงสำรวจ การวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น
รูปแบบการวิจัย
รูปแบบการวิจัย R&D ที่นิยมใช้กัน ได้แก่
- การวิจัยเชิงสำรวจ เป็นการศึกษาเพื่อหาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาการเรียนรู้ โดยอาจใช้วิธีการสำรวจความคิดเห็น สัมภาษณ์ สอบถาม หรือเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ
- การวิจัยเชิงทดลอง เป็นการศึกษาเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยอาจใช้วิธีการทดลองแบบกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
- การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรมใหม่ โดยอาจใช้วิธีการทดลองแบบมีส่วนร่วม
ครูผู้เขียนควรเลือกรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสมกับปัญหาการเรียนรู้ที่ศึกษา โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- สมมติฐานของการวิจัย
- ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
- ขอบเขตของการวิจัย
ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
ตัวแปรที่เกี่ยวข้องเป็นปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาการเรียนรู้ที่ศึกษา โดยครูผู้เขียนควรระบุตัวแปรที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถวางแผนการวิจัยได้อย่างเหมาะสม
ตัวอย่างตัวแปรที่เกี่ยวข้อง เช่น
- ตัวแปรต้น (Independent Variable) คือ ตัวแปรที่ครูผู้วิจัยต้องการศึกษาว่ามีผลต่อตัวแปรปลายหรือไม่ เช่น รูปแบบการจัดการเรียนรู้ นวัตกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้
- ตัวแปรปลาย (Dependent Variable) คือ ตัวแปรที่ครูผู้วิจัยต้องการวัดผล เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการแก้ปัญหา
- ตัวแปรควบคุม (Controlled Variable) คือ ตัวแปรที่ครูผู้วิจัยต้องการควบคุมไม่ให้ส่งผลต่อผลการวิจัย เช่น เพศ อายุ ระดับชั้น
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย R&D โดยครูผู้เขียนควรเลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมกับรูปแบบการวิจัยที่ใช้ โดยอาจใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การสอบถาม การทดลอง เป็นต้น
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นขั้นตอนที่ช่วยให้สามารถแปลความหมายของข้อมูลและนำไปสู่ข้อสรุป โดยครูผู้เขียนควรใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับรูปแบบการวิจัยที่ใช้ โดยอาจใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงสถิติ หรือวิธีการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เป็นต้น
ครูผู้เขียนควรออกแบบการวิจัยอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การวิจัยที่เขียนขึ้นสามารถตอบคำถามที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ
4. รวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบ
การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย R&D โดยครูผู้เขียนควรรวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบและถูกต้องตามวิธีการที่กำหนดไว้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ
ในการรวบรวมข้อมูล ครูผู้เขียนควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
- เตรียมความพร้อมในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยศึกษาวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมกับรูปแบบการวิจัยที่ใช้
- กำหนดเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการวิจัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
- ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยตรวจทานข้อมูลซ้ำอีกครั้ง
ครูผู้เขียนควรรวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- คุณภาพของข้อมูล ข้อมูลควรมีความถูกต้อง เที่ยงตรง น่าเชื่อถือ และสะท้อนถึงความเป็นจริง
- ความเพียงพอของข้อมูล ข้อมูลควรมีปริมาณเพียงพอที่จะนำมาวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ความหลากหลายของข้อมูล ข้อมูลควรมีความหลากหลายเพื่อให้สามารถวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัยได้อย่างครอบคลุม
ครูผู้เขียนควรเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยจัดทำบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ได้สะดวก
ตัวอย่างวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัย R&D เช่น
- การสังเกต เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการถามคำถามกับผู้ให้ข้อมูล
- การสอบถาม เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการถามคำถามกับผู้ให้ข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม
- การทดลอง เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการทดสอบสมมติฐานที่กำหนดไว้
ครูผู้เขียนควรเลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมกับรูปแบบการวิจัยที่ใช้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ
5. วิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ
การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย R&D โดยครูผู้เขียนควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถแปลความหมายของข้อมูลและนำไปสู่ข้อสรุปได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ
ในการวิเคราะห์ข้อมูล ครูผู้เขียนควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
- เตรียมความพร้อมในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยศึกษาวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับรูปแบบการวิจัยที่ใช้
- กำหนดวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการวิจัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
- ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล โดยปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
- ตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์ข้อมูล โดยตรวจทานผลการวิเคราะห์ซ้ำอีกครั้ง
ครูผู้เขียนควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ความถูกต้องของการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลควรถูกต้อง เที่ยงตรง และสะท้อนถึงความเป็นจริง
- ความครบถ้วนของการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลควรครอบคลุมทุกประเด็นที่ศึกษา
- ความชัดเจนของการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลควรมีเหตุผลและอธิบายได้
ครูผู้เขียนควรใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับรูปแบบการวิจัยที่ใช้ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ
ตัวอย่างวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัย R&D เช่น
- การวิเคราะห์เชิงสถิติ เป็นวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเพื่ออธิบายข้อมูล
- การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เป็นวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การตีความและอธิบายข้อมูล
ครูผู้เขียนควรเลือกวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการเขียนรายงานการวิจัย R&D ครูผู้เขียนควรนำเสนอผลการวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น บทนำ วัตถุประสงค์ สมมติฐาน การวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง วิธีการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย อภิปรายและข้อเสนอแนะ
การนำเสนอผลการวิจัยอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจผลการวิจัยได้อย่างง่ายและรวดเร็ว
6. เขียนรายงานการวิจัยอย่างกระชับ ชัดเจน และน่าอ่าน
การเขียนรายงานการวิจัย R&D ที่ดีควรเขียนอย่างกระชับ ชัดเจน และน่าอ่าน โดยครูผู้เขียนควรคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
- ความกระชับ รายงานการวิจัย R&D ควรเขียนให้กระชับ เข้าใจง่าย และครอบคลุมประเด็นที่ศึกษา
- ความชัดเจน รายงานการวิจัย R&D ควรเขียนให้ชัดเจน ตรงประเด็น และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
- ความน่าอ่าน รายงานการวิจัย R&D ควรเขียนให้น่าอ่าน น่าสนใจ และกระตุ้นให้ผู้อ่านอยากอ่านต่อ
ในการเขียนรายงานการวิจัย R&D ครูผู้เขียนควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
- เตรียมความพร้อมในการเขียน โดยศึกษารูปแบบการเขียนรายงานการวิจัย R&D ที่เหมาะสม
- แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น บทนำ วัตถุประสงค์ สมมติฐาน การวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง วิธีการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย อภิปรายและข้อเสนอแนะ
- เขียนเนื้อหาแต่ละส่วนอย่างครบถ้วน โดยอธิบายเนื้อหาอย่างละเอียดและชัดเจน
- ใช้ภาษาที่ถูกต้อง โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ และชัดเจน
- ตรวจสอบความถูกต้องของรายงาน โดยตรวจทานรายงานซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้รายงานมีความสมบูรณ์และถูกต้อง
ตัวอย่างคำแนะนำในการเขียนรายงานการวิจัย R&D แต่ละส่วน
- บทนำ ควรกล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
- วัตถุประสงค์ ควรระบุถึงสิ่งที่ต้องการจะศึกษาหรือหาคำตอบ
- สมมติฐาน ควรระบุถึงสิ่งที่คาดการณ์ว่าผลการศึกษาจะออกมาเป็นอย่างไร
- การวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรกล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อแสดงให้เห็นว่างานวิจัยที่เขียนขึ้นมีความสอดคล้องกับงานวิจัยที่ศึกษามา
- ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ควรระบุตัวแปรที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถวางแผนการวิจัยได้อย่างเหมาะสม
- วิธีการวิจัย ควรอธิบายวิธีการวิจัยที่ใช้อย่างละเอียด
- การเก็บรวบรวมข้อมูล ควรอธิบายวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้อย่างละเอียด
- การวิเคราะห์ข้อมูล ควรอธิบายวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้อย่างละเอียด
- ผลการวิจัย ควรนำเสนอผลการวิจัยอย่างเป็นระบบและชัดเจน
- อภิปรายและข้อเสนอแนะ ควรอภิปรายผลการวิจัยและเสนอแนะแนวทางการวิจัยในอนาคต
การเขียนรายงานการวิจัย R&D ที่ดีจะช่วยให้งานวิจัยที่เขียนขึ้นมีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน
ตัวอย่างงานวิจัย R&D ที่น่าสนใจ
- การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
- การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้แบบเกมเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
- การพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบดิจิทัลเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สู่การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ตัวอย่างงานวิจัย R&D ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น ซึ่งครูผู้เขียนสามารถศึกษางานวิจัย R&D อื่นๆ เพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น วารสารวิชาการ เว็บไซต์ หรือแหล่งข้อมูลออนไลน์ เป็นต้น
การเขียนงานวิจัย R&D ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ซึ่งครูผู้เขียนสามารถพัฒนาทักษะในการเขียนงานวิจัยได้จากการเริ่มต้นจากการเขียนงานวิจัยชิ้นเล็กๆ ไปทีละขั้น โดยอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือขอความช่วยเหลือจากเพื่อนครูที่มีประสบการณ์ในการเขียนงานวิจัย