ความเป็นมาและความสำคัญของงานวิจัย เป็นส่วนสำคัญของรายงานวิจัยที่มักสร้างความกังวลให้กับนักวิจัยหลายต่อหลายคน บทความนี้ขอเสนอ วิธีเขียนที่มาและความสำคัญของงานวิจัยของคุณใน 6 ขั้นตอนง่ายๆ พร้อมตัวอย่างประกอบ
1. กำหนดหัวข้อการวิจัย
เริ่มต้นด้วยการระบุหัวข้อการวิจัยของคุณให้ชัดเจน ดังนี้
1) ระบุความสนใจของคุณ:
- คุณสนใจเรื่องอะไร?
- อะไรคือสิ่งที่คุณอยากรู้อยากเห็น?
- อะไรคือปัญหาที่คุณอยากแก้ไข?
2) พิจารณาความเป็นไปได้:
- หัวข้อของคุณมีข้อมูลเพียงพอหรือไม่?
- คุณสามารถหาแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่?
- คุณมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการวิจัยหัวข้อนี้หรือไม่?
3) ค้นหาช่องว่างทางความรู้:
- มีงานวิจัยอะไรบ้างที่ทำเกี่ยวกับหัวข้อนี้แล้ว?
- ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับหัวข้อนี้?
- คุณสามารถเติมเต็มช่องว่างทางความรู้นี้ได้อย่างไร?
4) เลือกหัวข้อที่เฉพาะเจาะจง:
- หัวข้อของคุณกว้างเกินไปหรือไม่?
- คุณสามารถจำกัดขอบเขตของหัวข้อให้แคบลงได้หรือไม่?
- การวิจัยหัวข้อที่เฉพาะเจาะจงจะช่วยให้คุณสามารถศึกษาได้อย่างลึกซึ้ง
5) ตรวจสอบความเหมาะสม:
- หัวข้อของคุณเหมาะสมกับสาขาวิชาของคุณหรือไม่?
- หัวข้อของคุณมีความสำคัญต่อสังคมหรือไม่?
- คุณสามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร?
ตัวอย่างหัวข้อการวิจัย:
- ผลของโปรแกรมการสอนแบบใหม่ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
- ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน
- กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่งทะเล
- การพัฒนาระบบ AI สำหรับการวินิจฉัยโรค
เครื่องมือช่วยกำหนดหัวข้อการวิจัย:
- Google Scholar
- Scopus
- TCI
- ThaiLIS
- เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย
- สถาบันวิจัย
ขอแนะนำให้ปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาของคุณเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
2. ศึกษาข้อมูล
ค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการวิจัยของคุณ ศึกษาปัญหาหรือช่องว่างทางความรู้ที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น ผลการศึกษาที่ผ่านมาเกี่ยวกับโปรแกรมการสอนแบบใหม่ ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียน
การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของงานวิจัย ข้อมูลที่คุณรวบรวมจะช่วยให้คุณ:
- เข้าใจบริบทของหัวข้อการวิจัย
- ระบุปัญหาหรือช่องว่างทางความรู้
- กำหนดวัตถุประสงค์และคำถามการวิจัย
- วิเคราะห์ข้อมูลและหาข้อสรุป
แหล่งข้อมูลสำหรับงานวิจัย:
- แหล่งข้อมูลตีพิมพ์:
- บทความในวารสารวิชาการ
- หนังสือ
- รายงานการวิจัย
- วิทยานิพนธ์
- บทความในเว็บไซต์
- แหล่งข้อมูลที่ไม่ตีพิมพ์:
- เว็บไซต์ขององค์กร
- เอกสารของรัฐบาล
- สถิติ
- การสัมภาษณ์
- การสังเกต
เครื่องมือการค้นหาข้อมูล:
- Google Scholar
- Scopus
- TCI
- ThaiLIS
- เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย
- สถาบันวิจัย
เทคนิคการค้นหาข้อมูล:
- ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการวิจัย
- ระบุประเภทของข้อมูลที่คุณต้องการ
- ค้นหาแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
- จดบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ
การประเมินข้อมูล:
- พิจารณาความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
- วิเคราะห์ความเป็นกลางของข้อมูล
- ประเมินความเกี่ยวข้องของข้อมูลกับงานวิจัยของคุณ
ตัวอย่างเครื่องมือสำหรับการจัดการข้อมูล:
- Zotero
- Mendeley
- EndNote
คำแนะนำเพิ่มเติม:
- เริ่มต้นการศึกษาข้อมูลตั้งแต่เนิ่นๆ
- จดบันทึกอย่างละเอียด
- ปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาของคุณ
3. ระบุปัญหา
การระบุปัญหาที่ชัดเจนเป็นหัวใจสำคัญของงานวิจัยที่ดี ปัญหาที่ดีควร:
- มีความสำคัญ: ปัญหาควรมีความสำคัญต่อสังคม สาขาวิชา หรือกลุ่มเป้าหมาย
- สามารถแก้ไขได้: ปัญหาควรสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการวิจัย
- มีความเฉพาะเจาะจง: ปัญหาควรมีขอบเขตที่ชัดเจน ไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป
- วัดผลได้: ปัญหาควรสามารถวัดผลได้
เทคนิคการระบุปัญหา:
- การทบทวนวรรณกรรม: ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการวิจัย วิเคราะห์งานวิจัยที่ผ่านมา ระบุช่องว่างทางความรู้
- การระดมสมอง: ระดมความคิดเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น
- การสังเกต: สังเกตปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง
- การสัมภาษณ์: สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างปัญหา:
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนยังอยู่ในระดับต่ำ
- พนักงานลาออกจากงานเป็นจำนวนมาก
- ธุรกิจขนาดเล็กประสบปัญหาในการแข่งขัน
- ระบบนิเวศน์ชายฝั่งทะเลถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- การวินิจฉัยโรคยังมีข้อผิดพลาด
คำถามที่ช่วยระบุปัญหา:
- อะไรคือสิ่งที่ผิดพลาด?
- อะไรคือสาเหตุของปัญหา?
- อะไรคือผลกระทบของปัญหา?
- อะไรคือแนวทางแก้ไขปัญหา?
เมื่อคุณระบุปัญหาได้แล้ว คุณสามารถกำหนดวัตถุประสงค์และคำถามการวิจัยของคุณได้
4. กำหนดวัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ของงานวิจัยคือสิ่งที่คุณต้องการจะบรรลุ วัตถุประสงค์ที่ดีควร:
- สอดคล้องกับปัญหา: วัตถุประสงค์ควรตอบสนองต่อปัญหาที่คุณระบุไว้
- มีความชัดเจน: วัตถุประสงค์ควรเขียนให้เข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ
- วัดผลได้: วัตถุประสงค์ควรสามารถวัดผลได้
- มีความเป็นไปได้: วัตถุประสงค์ควรสามารถบรรลุได้ด้วยวิธีการวิจัย
ประเภทของวัตถุประสงค์:
- วัตถุประสงค์ทั่วไป: ระบุเป้าหมายหลักของงานวิจัย
- วัตถุประสงค์เฉพาะ: ระบุเป้าหมายรองของงานวิจัย
ตัวอย่างวัตถุประสงค์:
- วัตถุประสงค์ทั่วไป: ศึกษาผลของโปรแกรมการสอนแบบใหม่ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
- วัตถุประสงค์เฉพาะ:
- เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยโปรแกรมการสอนแบบใหม่กับนักเรียนที่เรียนด้วยโปรแกรมการสอนแบบดั้งเดิม
- ระบุปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยโปรแกรมการสอนแบบใหม่
- พัฒนารูปแบบการสอนแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ
คำถามที่ช่วยกำหนดวัตถุประสงค์:
- คุณต้องการทราบอะไร?
- คุณต้องการบรรลุอะไร?
- คุณต้องการวัดผลอะไร?
เมื่อคุณกำหนดวัตถุประสงค์ได้แล้ว คุณสามารถกำหนดคำถามการวิจัยของคุณได้
5. อธิบายความสำคัญ
ความสำคัญ ของงานวิจัย หมายถึง การอธิบายว่างานวิจัยของคุณมี คุณค่า และ ประโยชน์ อย่างไร
องค์ประกอบ ของการอธิบายความสำคัญ ประกอบด้วย:
1. ปัญหา: อธิบายปัญหาที่งานวิจัยของคุณต้องการแก้ไข
2. ผลกระทบ: อธิบายผลกระทบของปัญหา
3. ช่องว่างทางความรู้: อธิบายว่างานวิจัยที่ผ่านมายังมีช่องว่างตรงไหน
4. วัตถุประสงค์: อธิบายว่างานวิจัยของคุณจะช่วยแก้ปัญหาและเติมเต็มช่องว่างทางความรู้อย่างไร
5. ประโยชน์: อธิบายประโยชน์ที่จะได้รับจากงานวิจัยของคุณ
ตัวอย่าง:
หัวข้อ: ผลของโปรแกรมการสอนแบบใหม่ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
ความสำคัญ:
- ปัญหา: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนยังอยู่ในระดับต่ำ
- ผลกระทบ: นักเรียนไม่มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน
- ช่องว่างทางความรู้: ยังไม่มีงานวิจัยที่ศึกษาผลของโปรแกรมการสอนแบบใหม่ในประเทศไทย
- วัตถุประสงค์: ศึกษาผลของโปรแกรมการสอนแบบใหม่ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
- ประโยชน์:
- พัฒนาโปรแกรมการสอนที่มีประสิทธิภาพ
- พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
- เตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการทำงาน
เทคนิค:
- เขียนให้เข้าใจง่าย
- เน้นประเด็นสำคัญ
- อ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- ยกตัวอย่าง
คำถามที่ช่วยอธิบายความสำคัญ:
- ทำไมงานวิจัยนี้จึงสำคัญ?
- งานวิจัยนี้จะช่วยแก้ปัญหาอะไร?
- งานวิจัยนี้จะช่วยเติมเต็มช่องว่างทางความรู้อย่างไร?
- ใครจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากงานวิจัยนี้?
การอธิบายความสำคัญที่ดีจะช่วยโน้มน้าวผู้อ่านว่างานวิจัยของคุณมี คุณค่า และ ประโยชน์
6. เทคนิคการเขียนสรุป
การเขียนสรุป หมายถึง การนำเสนอใจความสำคัญของเนื้อหาที่ยาวให้กระชับขึ้น โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ครอบคลุมประเด็นสำคัญทั้งหมด และรักษาความถูกต้องของเนื้อหาต้นฉบับ
ขั้นตอนการเขียนสรุป
- อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด เข้าใจใจความสำคัญ ประเด็นหลัก และรายละเอียดสำคัญ
- ระบุวัตถุประสงค์ ของการสรุป เพื่อใช้ประกอบการเรียน การสอน การวิจัย หรืออื่นๆ
- วิเคราะห์เนื้อหา แยกแยะใจความสำคัญ ประเด็นรอง รายละเอียด ตัวอย่าง และข้อมูลสนับสนุน
- คัดเลือกข้อมูล เลือกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ ละเว้นรายละเอียดปลีกย่อย
- เรียบเรียงเนื้อหา ใหม่ โดยใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน ตรงประเด็น และรักษาความถูกต้อง
- ตรวจสอบความถูกต้อง ของข้อมูล การเรียงลำดับ และความลื่นไหลของภาษา
เทคนิคการเขียนสรุป
- เน้นใจความสำคัญ ประเด็นหลัก และรายละเอียดสำคัญ
- ละเว้นรายละเอียดปลีกย่อย ข้อมูลที่ไม่จำเป็น และตัวอย่างที่ไม่เกี่ยวข้อง
- เรียบเรียงเนื้อหาใหม่ โดยใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน ตรงประเด็น และรักษาความถูกต้อง
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การเรียงลำดับ และความลื่นไหลของภาษา
ตัวอย่างการเขียนสรุป
เนื้อหาต้นฉบับ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 10 ของโลก ประชากรไทยมีหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ แต่มีภาษาถิ่นอื่นๆ ที่ใช้พูดกันในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ อาหารไทยเป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สวยงามมากมาย
สรุป
ประเทศไทยมีประชากรมากเป็นอันดับ 10 ของโลก ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ แต่มีภาษาถิ่นอื่นๆ ที่ใช้พูดกันในภูมิภาคต่างๆ อาหารไทยโด่งดังไปทั่วโลก ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สวยงามมากมาย
หมายเหตุ
ตัวอย่างการเขียนสรุปนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น การเขียนสรุปที่ดีจะขึ้นอยู่กับเนื้อหาต้นฉบับ วัตถุประสงค์ และทักษะการเขียนของผู้เขียน
วิธีเขียนที่มาและความสำคัญของงานวิจัยของคุณใน 6 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อเป็นแนวทางในการเขียนงานวิจัยและช่วยถ่ายทอดงานวิจัยของคุณไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ