บทที่ 2 ของงานวิจัยเป็นส่วนสำคัญในการอธิบายบริบทและที่มาของงานวิจัย โดยกล่าวถึงทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจกรอบแนวคิดและขอบเขตของการวิจัย รวมถึงความเชื่อมโยงกับงานวิจัยในอดีต ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ดีจะช่วยให้งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือและสามารถตอบคำถามวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เคล็ดลับการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ให้ดีนั้น สามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด
การศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับงานวิจัยทุกประเภท เนื่องจากจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจแนวคิดและประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของตนเอง โดยอาจเริ่มจากการศึกษาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น บทความวิจัย หนังสือตำรา และวารสารวิชาการ เป็นต้น หรืออาจศึกษางานวิจัยออนไลน์ผ่านฐานข้อมูลต่างๆ เช่น Google Scholar และ Scopus
ในการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดนั้น ผู้วิจัยควรให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้
- ความถูกต้องของข้อมูล ผู้วิจัยควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยพิจารณาจากแหล่งที่มาของข้อมูล วิธีการรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล
- ความทันสมัยของข้อมูล ผู้วิจัยควรศึกษาข้อมูลล่าสุด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความทันสมัยและสามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้อย่างถูกต้อง
- ความเกี่ยวข้องของข้อมูล ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องนั้นตรงประเด็นกับงานวิจัยของตนเองหรือไม่ โดยพิจารณาจากตัวแปรที่ศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัย และขอบเขตของการวิจัย
นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรใช้ทักษะการอ่านเชิงวิพากษ์ในการตีความข้อมูล โดยพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล อคติของผู้เขียน และข้อจำกัดของการศึกษา
ตัวอย่างวิธีการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดมีดังนี้
- ระบุกรอบแนวคิด ผู้วิจัยควรระบุกรอบแนวคิดของงานวิจัยของตนเองก่อน โดยกรอบแนวคิดจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถระบุทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างตรงประเด็น
- สร้างแผนการศึกษา ผู้วิจัยควรสร้างแผนการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางในการค้นหาและศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแผนการศึกษาควรระบุหัวข้อหลัก ประเด็นย่อย และแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
- ค้นหาข้อมูล ผู้วิจัยควรค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ โดยอาจใช้เครื่องมือค้นหาหรือฐานข้อมูลออนไลน์ต่างๆ
- อ่านและวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยควรอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด โดยพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น
- สรุปข้อมูล ผู้วิจัยควรสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกัน
การศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเขียนบทที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถอธิบายบริบทและที่มาของงานวิจัยได้อย่างละเอียดและน่าเชื่อถือ
2. วิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นกระบวนการสำคัญในการวิจัย ช่วยให้นักวิจัยเข้าใจปัญหาการวิจัยและกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น สามารถนำไปสู่การกำหนดสมมติฐานการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์ทฤษฎี หมายถึง กระบวนการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจแนวคิด หลักการ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีสามารถช่วยนักวิจัยในการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ระบุตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และสร้างสมมติฐานการวิจัย
การสังเคราะห์งานวิจัย หมายถึง กระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อสรุปหรือแนวโน้มร่วมกัน ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยนักวิจัยในการระบุช่องว่างทางความรู้ แนวทางการวิจัยในอนาคต และข้อจำกัดของงานวิจัย
ขั้นตอนการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
- กำหนดขอบเขตการวิจัย ระบุประเด็นปัญหาการวิจัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
- สืบค้นข้อมูล รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลออนไลน์ วารสารวิชาการ หนังสือ และบทความ
- วิเคราะห์ข้อมูล ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจแนวคิด หลักการ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
- สังเคราะห์ข้อมูล สรุปแนวคิดและหลักการที่สำคัญจากทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- เขียนรายงาน นำเสนอผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
สมมติว่านักวิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้สื่อโซเชียลมีเดียและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่น นักวิจัยอาจเริ่มต้นด้วยการทบทวนทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น ทฤษฎีการเสริมแรง ทฤษฎีการคาดหวัง และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม จากการศึกษาทฤษฎีเหล่านี้ นักวิจัยอาจสรุปได้ว่าการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นได้หลายวิธี เช่น
- การใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจกระตุ้นการบริโภคอาหาร โดยวัยรุ่นอาจเห็นภาพหรือข้อความที่เกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่ไม่ healthy บ่อยครั้ง จนทำให้พวกเขาอยากบริโภคอาหารเหล่านั้นตาม
- การใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจทำให้วัยรุ่นรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคอาหารเพื่อปลอบใจตัวเอง
- การใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจทำให้วัยรุ่นมีความรู้สึกกดดันที่ต้องดูดี ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก
นอกจากนี้ นักวิจัยอาจสืบค้นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปหรือแนวโน้มร่วมกัน จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยอาจพบข้อมูลว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก มักจะมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ healthy มากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียน้อย
จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยอาจกำหนดสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้
- วัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก จะมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ healthy มากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียน้อย
สมมติฐานนี้สามารถนำไปสู่การออกแบบการวิจัยเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองต่อไป
ประโยชน์ของการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้
- ช่วยนักวิจัยเข้าใจปัญหาการวิจัยและกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- สามารถนำไปสู่การกำหนดสมมติฐานการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ช่วยนักวิจัยระบุช่องว่างทางความรู้ แนวทางการวิจัยในอนาคต และข้อจำกัดของงานวิจัย
การวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นกระบวนการที่สำคัญในการวิจัย ช่วยให้นักวิจัยสามารถดำเนินงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัย
3. นำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกัน
ในการนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกันนั้น นักวิจัยควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดขอบเขตการวิจัย ระบุประเด็นปัญหาการวิจัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลออนไลน์ วารสารวิชาการ หนังสือ และบทความ
เมื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้แล้ว นักวิจัยควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจแนวคิด หลักการ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงสังเคราะห์ข้อมูล โดยสรุปแนวคิดและหลักการที่สำคัญจากทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยควรจัดระเบียบข้อมูลอย่างเป็นลำดับ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว ควรใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น ไม่ควรยืดเยื้อหรือวกวนจนทำให้ผู้อ่านสับสน นอกจากนี้ ควรเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างมีเหตุผล เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้อมูลเหล่านั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตัวอย่างการนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกัน
สมมติว่านักวิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้สื่อโซเชียลมีเดียและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่น นักวิจัยอาจเริ่มต้นด้วยการนำเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวข้องดังนี้
- ทฤษฎีการเสริมแรง ระบุว่าพฤติกรรมใดก็ตามที่ได้รับรางวัลหรือผลตอบแทนที่ตามมาด้วยจะมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำอีก ดังนั้น วัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก และเห็นภาพหรือข้อความที่เกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่ไม่ healthy บ่อยครั้ง อาจได้รับแรงจูงใจให้บริโภคอาหารเหล่านั้นตาม
- ทฤษฎีการคาดหวัง ระบุว่าบุคคลจะแสดงพฤติกรรมใดๆ หากเชื่อว่าพฤติกรรมนั้นจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนั้น วัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก และรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา อาจบริโภคอาหารเพื่อปลอบใจตัวเอง หรือบริโภคอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก
- ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ระบุว่าบุคคลเรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ จากผู้อื่น หากวัยรุ่นใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก และเห็นภาพหรือข้อความที่เกี่ยวกับบุคคลอื่นที่บริโภคอาหารที่ไม่ healthy บ่อยครั้ง อาจเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้น
จากนั้น นักวิจัยอาจนำเสนอผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้
- การศึกษาของ Zhang et al. (2022) พบว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก มีแนวโน้มที่จะบริโภคอาหารที่ไม่ healthy มากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียน้อย
- การศึกษาของ Lee et al. (2021) พบว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก มีแนวโน้มที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคอาหารเพื่อปลอบใจตัวเอง
- การศึกษาของ Park et al. (2020) พบว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก มีแนวโน้มที่จะรู้สึกกดดันที่ต้องดูดี ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก
จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยอาจสรุปได้ว่าการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นได้หลายวิธี โดยวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาก อาจมีแนวโน้มที่จะบริโภคอาหารที่ไม่ healthy มากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สื่อโซเชียลมีเดียน้อย สาเหตุอาจมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เห็นในสื่อโซเชียลมีเดีย ความรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา และความรู้สึกกดดันที่ต้องดูดี
การนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกระชับ ชัดเจน และเชื่อมโยงกัน จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นปัญหาการวิจัยและกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น สามารถนำไปสู่การกำหนดสมมติฐานการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่าง
สมมติว่า ผู้วิจัยกำลังศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่น ผู้วิจัยอาจระบุทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เช่น ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ทฤษฎีแรงจูงใจ (Motivation Theory) และทฤษฎีความเครียด (Stress Theory) จากนั้น ผู้วิจัยอาจวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีเหล่านั้น เพื่อหาความเชื่อมโยงว่าการใช้สมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นอย่างไร โดยอาจสรุปได้ว่าการใช้สมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นได้ทั้งทางบวกและทางลบ โดยทางบวกนั้น การใช้สมาร์ทโฟนอาจช่วยส่งเสริมทักษะทางสังคม ทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการปรับตัวของวัยรุ่น ในขณะที่ทางลบนั้น การใช้สมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อความเครียด ความวิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ของวัยรุ่น
นอกจากนี้ ผู้วิจัยอาจนำเสนอทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยแบ่งหัวข้อย่อยตามประเด็นต่างๆ เช่น ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อทักษะทางสังคม ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อทักษะการแก้ปัญหา ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อทักษะการปรับตัว ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อความเครียด ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อความวิตกกังวล และผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ของวัยรุ่น โดยอาจเชื่อมโยงกับงานวิจัยของตนเอง เช่น ผลการวิจัยพบว่า การใช้สมาร์ทโฟนส่งผลต่อความเครียดของวัยรุ่น โดยพบว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สมาร์ทโฟนนานกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มที่จะมีความเครียดมากกว่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาใช้สมาร์ทโฟนน้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
เคล็ดลับการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ข้างต้น จะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถอธิบายบริบทและที่มาของงานวิจัยได้อย่างละเอียดและน่าเชื่อถือ