วิธีการวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องในบทที่ 2

บทที่ 2 ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นบทสำคัญในรายงานการวิจัย เพราะจะช่วยอธิบายถึงพื้นฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย และสามารถคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร

ในการเขียนบทที่ 2 นักวิจัยควรพิจารณาจากประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

1. ระบุกรอบแนวคิดการวิจัย

กรอบแนวคิดการวิจัยเป็นกรอบความคิดที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย โดยกรอบแนวคิดการวิจัยที่ดีจะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และวิธีการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

2. ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง

นักวิจัยควรทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดและรอบคอบ โดยควรพิจารณาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านเนื้อหาและวิธีการวิจัย ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถระบุช่องว่างทางความรู้และสร้างสมมติฐานการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

นักวิจัยควรอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยควรอธิบายว่าทฤษฎีใดเป็นฐานความคิดในการวิจัย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประเด็นใดที่สอดคล้องกับการวิจัย

4. สรุปประเด็นสำคัญ

ในตอนท้ายของบทที่ 2 นักวิจัยควรสรุปประเด็นสำคัญทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงเนื้อหาของบทที่ 2 ได้อย่างครบถ้วน

วิธีการวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ในการเขียนบทที่ 2 นักวิจัยควรวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยควรพิจารณาจากประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

1. เนื้อหาของทฤษฎีและงานวิจัย

นักวิจัยควรเข้าใจเนื้อหาของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ โดยควรศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น หนังสือ บทความวิชาการ และเว็บไซต์ต่างๆ

2. ความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัย

นักวิจัยควรอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยควรอธิบายว่าทฤษฎีใดเป็นฐานความคิดในการวิจัย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีประเด็นใดที่สอดคล้องกับการวิจัย

3. ช่องว่างทางความรู้

นักวิจัยควรระบุช่องว่างทางความรู้จากการศึกษาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยช่องว่างทางความรู้อาจเกิดจากข้อจำกัดของทฤษฎีหรืองานวิจัยที่มีอยู่ เช่น ทฤษฎีหรืองานวิจัยที่มีอยู่อาจไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทั้งหมดได้ หรือทฤษฎีหรืองานวิจัยที่มีอยู่อาจไม่สามารถตอบคำถามวิจัยได้

4. สมมติฐานการวิจัย

นักวิจัยควรสร้างสมมติฐานการวิจัยจากการศึกษาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยสมมติฐานการวิจัยควรเป็นคำตอบที่คาดเดาไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย

ตัวอย่างการการวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องของการวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ทฤษฎีความเครียด

ทฤษฎีความเครียดอธิบายว่าความเครียดเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายหรือคุกคาม ทฤษฎีนี้อธิบายว่าความเครียดสามารถส่งผลต่อบุคคลได้ทั้งทางบวกและทางลบ ในทางบวก ความเครียดสามารถกระตุ้นให้บุคคลเกิดความตื่นตัวและมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างไรก็ตาม ในทางลบ ความเครียดสามารถทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลและขาดสมาธิ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าความเครียดมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับปานกลาง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีกว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับต่ำหรือสูง งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่านักเรียนที่เผชิญกับความเครียดในระดับสูง มีแนวโน้มที่จะขาดสมาธิและทำงานผิดพลาดได้ง่าย

ช่องว่างทางความรู้

จากการศึกษาทฤษฎีและความเครียดที่เกี่ยวข้อง พบว่าความเครียดสามารถส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ทั้งทางบวกและทางลบ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ระดับความเครียด ระยะเวลาในการเผชิญกับความเครียด และกลไกการเผชิญกับความเครียด

สมมติฐานการวิจัย

จากการศึกษาทฤษฎีและความเครียดที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยตั้งสมมติฐานการวิจัยว่า “ความเครียดจะมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับปานกลาง แต่จะมีความสัมพันธ์เชิงลบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับสูง”

บทสรุป

การวิเคราะห์ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบจะช่วยให้นักวิจัยสามารถเขียนบทที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้รายงานการวิจัยมีความน่าเชื่อถือ