คลังเก็บป้ายกำกับ: ความแตกต่าง IRR และ NPV

วิธีใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน เลือกลงทุนอย่างไรให้คุ้มค่า

ในการตัดสินใจลงทุน การประเมินความคุ้มค่าของโครงการเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ต้นทุนการลงทุน กระแสเงินสดรับสุทธิ และระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการคือ อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR)

IRR คือ อัตราส่วนลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการมีค่าเท่ากับต้นทุนการลงทุน พูดง่ายๆ คือ อัตราผลตอบแทนที่โครงการจะสร้างให้ได้ตามต้นทุนการลงทุน ในกรณีที่ IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุน แสดงว่าโครงการนั้นคุ้มค่าที่จะลงทุน

วิธีการคำนวณ IRR

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้วิธีลองผิดลองถูก (Trial and Error) โดยสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า แล้วคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการ หากค่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิมีค่าเท่ากับต้นทุนการลงทุน แสดงว่าค่า IRR นั้นคือค่าที่ถูกต้อง

อีกวิธีหนึ่งในการหา IRR คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณ ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากมายที่สามารถคำนวณ IRR ได้

ตัวอย่างการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

สมมติว่าบริษัทแห่งหนึ่งมีโครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในปีแรก 3 ล้านบาท ปีที่สอง 4 ล้านบาท และปีที่สาม 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่ 10%

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถคำนวณ IRR ของโครงการได้ดังนี้

IRR = ?

NPV = -10 + 3/(1+0.1)^1 + 4/(1+0.1)^2 + 5/(1+0.1)^3

เมื่อคำนวณค่า NPV จะได้ค่าเท่ากับ 1.26

เนื่องจากค่า NPV มีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่า IRR ของโครงการจะสูงกว่า 10%

หากเราลองสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า พบว่าค่า IRR ที่ใกล้เคียงกับ NPV มากที่สุดคือ 12%

ดังนั้น สรุปได้ว่า โครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของ บริษัทแห่งนี้คุ้มค่าที่จะลงทุน เนื่องจาก IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนที่ 10%

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

ข้อดีของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนคือ

  • เข้าใจง่าย สามารถใช้เปรียบเทียบโครงการลงทุนต่างๆ ได้ง่าย

IRR เป็นอัตราผลตอบแทนที่แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจได้ง่าย และสามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนต่างๆ ได้ง่าย โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าย่อมคุ้มค่ากว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า

  • ครอบคลุมถึงระยะเวลาคืนทุนของโครงการ

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดรับสุทธิทั้งหมดของโครงการ ซึ่งรวมถึงกระแสเงินสดรับสุทธิที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย ทำให้ IRR ครอบคลุมถึงระยะเวลาคืนทุนของโครงการด้วย โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าย่อมมีระยะเวลาคืนทุนที่สั้นกว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า

ข้อดีของการใช้ IRR เหล่านี้ ทำให้ IRR เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม IRR ก็มีข้อเสียที่ต้องพิจารณาเช่นกัน

ข้อเสียของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนคือ

  • ขึ้นอยู่กับสมมติฐานของกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคต

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคต ซึ่งขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่างๆ เช่น ปริมาณการขาย ราคาสินค้าหรือบริการ เป็นต้น หากสมมติฐานเหล่านี้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง จะทำให้ IRR ที่คำนวณได้คลาดเคลื่อนได้

  • ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันได้

IRR ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันได้ เนื่องจาก IRR ขึ้นอยู่กับระยะเวลาคืนทุนด้วย ดังนั้น โครงการที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันอาจให้ IRR ต่างกันได้ แม้ว่าโครงการทั้งสองจะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากัน

ดังนั้น ผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของการใช้ IRR ประกอบกันก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงการใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด

การประยุกต์ใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

IRR สามารถใช้ประยุกต์ใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนในหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น เครื่องจักร อาคาร โรงงาน

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น การลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ การลงทุนสร้างโรงงานใหม่ เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในธุรกิจใหม่

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น การลงทุนเปิดร้านใหม่ การลงทุนซื้อแฟรนไชส์ เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในโครงการก่อสร้าง

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในโครงการก่อสร้าง เช่น การลงทุนสร้างถนน การลงทุนสร้างเขื่อน เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในหลักทรัพย์

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น การลงทุนซื้อหุ้น การลงทุนซื้อกองทุนรวม เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

  • บริษัทแห่งหนึ่งมีโครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในปีแรก 3 ล้านบาท ปีที่สอง 4 ล้านบาท และปีที่สาม 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่ 10%

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถคำนวณ IRR ของโครงการได้ดังนี้

IRR = ?

NPV = -10 + 3/(1+0.1)^1 + 4/(1+0.1)^2 + 5/(1+0.1)^3

เมื่อคำนวณค่า NPV จะได้ค่าเท่ากับ 1.26

เนื่องจากค่า NPV มีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่า IRR ของโครงการจะสูงกว่า 10%

หากเราลองสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า พบว่าค่า IRR ที่ใกล้เคียงกับ NPV มากที่สุดคือ 12%

ดังนั้น สรุปได้ว่า โครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของ บริษัทแห่งนี้คุ้มค่าที่จะลงทุน เนื่องจาก IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนที่ 10%

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

ผู้ลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงการใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด

ความแตกต่างระหว่าง IRR และ NPV

IRR และ NPV เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน ทั้งสองเครื่องมือมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญบางประการ

IRR ย่อมาจาก Internal Rate of Return เป็นอัตราผลตอบแทนภายในของการลงทุน หมายถึงอัตราคิดลดที่ส่งผลให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของการลงทุนเท่ากับศูนย์ พูดง่ายๆ ก็คือ IRR คืออัตราผลตอบแทนที่การลงทุนจะคุ้มทุน

NPV ย่อมาจาก Net Present Value เป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิของการลงทุน หมายถึงมูลค่าของกระแสเงินสดในอนาคตที่นำมาคิดลดด้วยอัตราคิดลดที่เหมาะสม NPV ของการลงทุนที่คุ้มทุนจะเท่ากับหรือมากกว่าศูนย์

ความแตกต่างระหว่าง IRR และ NPV

คุณสมบัติIRRNPV
ความหมายอัตราผลตอบแทนภายในของการลงทุนมูลค่าปัจจุบันสุทธิของการลงทุน
การคำนวณหาอัตราคิดลดที่ทำให้ NPV เท่ากับศูนย์หามูลค่าของกระแสเงินสดในอนาคตที่นำมาคิดลดด้วยอัตราคิดลดที่เหมาะสม
ข้อดีเข้าใจง่าย ตีความได้ชัดเจนสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของการลงทุน
ข้อเสียอาจเกิดความขัดแย้งกับ NPV ในบางกรณีไม่เข้าใจง่ายเท่า IRR

ตัวอย่าง

สมมติว่า บริษัทแห่งหนึ่งพิจารณาลงทุนในโครงการใหม่ โครงการนี้ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 100 ล้านบาท และคาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดสุทธิ 20 ล้านบาทในปีแรก 15 ล้านบาทในปีที่สอง และ 10 ล้านบาทในปีที่สาม อัตราคิดลดที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนประเภทนี้อยู่ที่ 10%

การคำนวณ IRR ของโครงการนี้ มีดังนี้

IRR = (NPV / เงินลงทุนเริ่มต้น) * 100
IRR = (20 + 15 + 10 - 100) / 100
IRR = 15%

การคำนวณ NPV ของโครงการนี้ มีดังนี้

NPV = ∑(กระแสเงินสดสุทธิ / (1 + อัตราคิดลด)^ปี)

NPV = (20 / (1 + 0.1)^1 + 15 / (1 + 0.1)^2 + 10 / (1 + 0.1)^3)
NPV = 10.19

จากการคำนวณพบว่า IRR ของโครงการนี้เท่ากับ 15% และ NPV ของโครงการนี้เท่ากับ 10.19 ในกรณีนี้ IRR และ NPV ของโครงการนี้มีค่าเท่ากัน ดังนั้นการลงทุนในโครงการนี้จึงคุ้มทุน

ข้อจำกัดของ IRR และ NPV

แม้ IRR และ NPV เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ในการช่วยนักลงทุนตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่นักลงทุนควรทราบ

ข้อจำกัดของ IRR

  • IRR อาจให้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกันได้ หากโครงการการลงทุนมีกระแสเงินสดเข้าและออกที่ไม่สม่ำเสมอ อาจเกิดกรณีที่ IRR และ NPV ขัดแย้งกันได้
  • IRR อาจไม่สะท้อนถึงความเสี่ยงของโครงการ IRR เป็นเพียงอัตราผลตอบแทนที่ส่งผลให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิเท่ากับศูนย์เท่านั้น ไม่ได้สะท้อนถึงความเสี่ยงของโครงการ เช่น ความเสี่ยงด้านความผันผวนของกระแสเงินสด ความเสี่ยงด้านคู่แข่ง ความเสี่ยงด้านกฎหมาย เป็นต้น

ข้อจำกัดของ NPV

  • NPV ต้องใช้อัตราคิดลดที่เหมาะสม หากใช้อัตราคิดลดที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ NPV มีค่าผิดเพี้ยน และได้อัตราคิดลดที่ไม่เหมาะสม
  • NPV ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการที่มีระยะเวลาต่างกันได้ หากโครงการมีระยะเวลาต่างกัน NPV อาจไม่สามารถเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน ต้องใช้วิธีอื่น เช่น ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) หรืออัตราผลตอบแทนต่ออายุ (Return on Investment Period) ในการเปรียบเทียบ

สรุป

IRR และ NPV เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ในการช่วยนักลงทุนตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ IRR เข้าใจง่าย ตีความได้ชัดเจน แต่อาจเกิดความขัดแย้งกับ NPV ในบางกรณี NPV สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของการลงทุน แต่อาจไม่เข้าใจง่ายเท่า IRR นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน