คลังเก็บป้ายกำกับ: ข้อดีของ IRR

IRR รู้ไว้ก่อนลงทุนจะได้ไม่พลาด

IRR หรือ Internal Rate of Return คือ อัตราผลตอบแทนภายในโครงการ เป็นตัวชี้วัดว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ โดยคำนวณจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน IRR รู้ไว้ก่อนลงทุนจะได้ไม่พลาด

สูตรการคำนวณ IRR มีดังนี้

IRR = n / (∑(CFt / (1+r)^t))

โดยที่

  • n คือ จำนวนปีของการลงทุน
  • CFt คือ กระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในปีที่ t
  • r คือ อัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคิดลดกระแสเงินสด

IRR มีค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยถ้า IRR มีค่าสูงกว่าต้นทุนของเงินทุน แสดงว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่า แต่ถ้า IRR มีค่าต่ำกว่าต้นทุนของเงินทุน แสดงว่าการลงทุนนั้นไม่คุ้มค่า

ตัวอย่างการคำนวณ IRR

สมมติว่าเรามีการลงทุนในโครงการหนึ่ง โดยคาดว่าจะได้รับกระแสเงินสดดังนี้

ปีที่ 1 = 100,000 บาท ปีที่ 2 = 200,000 บาท ปีที่ 3 = 300,000 บาท

ต้นทุนของเงินทุนคือ 10%

จากสูตรการคำนวณ IRR จะได้ดังนี้

IRR = 3 / (100,000 / (1+0.1)^1 + 200,000 / (1+0.1)^2 + 300,000 / (1+0.1)^3)
IRR = 22.47%

จากการคำนวณพบว่า IRR มีค่าเท่ากับ 22.47% ซึ่งสูงกว่าต้นทุนของเงินทุนที่ 10% แสดงว่าการลงทุนในโครงการนี้คุ้มค่า

ประโยชน์ของ IRR

IRR มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน โดยสามารถสรุปประโยชน์หลัก ๆ ได้เป็นดังนี้

  • เปรียบเทียบการลงทุนหลายโครงการ

IRR สามารถนำมาเปรียบเทียบการลงทุนหลายโครงการด้วยกัน เพื่อเลือกโครงการที่คุ้มค่าที่สุด โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าจะเป็นโครงการที่คุ้มค่ากว่า

ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาการลงทุนในโครงการ 2 โครงการ โดยโครงการ A มี IRR เท่ากับ 20% และโครงการ B มี IRR เท่ากับ 15% แสดงว่าโครงการ A คุ้มค่ากว่าโครงการ B

  • ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะยาว

IRR สามารถนำมาประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะยาวได้ โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนตลอดระยะเวลาทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ โดยคาดว่าจะได้รับกระแสเงินสดดังนี้

ปีที่ 1 = 500,000 บาท ปีที่ 2 = 600,000 บาท ปีที่ 3 = 700,000 บาท

ต้นทุนของเครื่องจักรคือ 1,000,000 บาท

จากการคำนวณ IRR จะได้ดังนี้

IRR = 3 / (500,000 / (1+r)^1 + 600,000 / (1+r)^2 + 700,000 / (1+r)^3)
IRR = 14.29%

จากการคำนวณพบว่า IRR มีค่าเท่ากับ 14.29% ซึ่งสูงกว่าต้นทุนของเงินทุนที่ 10% แสดงว่าการลงทุนในเครื่องจักรใหม่คุ้มค่า

ข้อควรระวังในการใช้ IRR

IRR มีข้อควรระวังในการใช้อยู่บ้าง ดังนี้

  • IRR ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด

IRR คำนวณจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน ดังนั้น IRR จึงขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าบริษัทแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาการลงทุนในโครงการหนึ่ง โดยคาดว่าจะได้รับกระแสเงินสดดังนี้

ปีที่ 1 = 100,000 บาท ปีที่ 2 = 200,000 บาท ปีที่ 3 = 300,000 บาท

ต้นทุนของเงินทุนคือ 10%

ถ้าใช้อัตราดอกเบี้ย 10% คำนวณ IRR จะได้เท่ากับ 22.47%

แต่ถ้าใช้อัตราดอกเบี้ย 15% คำนวณ IRR จะได้เท่ากับ 17.65%

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า IRR มีค่าแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม

  • IRR ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน

IRR ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน ดังนั้นจึงควรพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนควบคู่ไปด้วย

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าบริษัทแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาการลงทุนในโครงการ 2 โครงการ โดยโครงการ A มี IRR เท่ากับ 20% และโครงการ B มี IRR เท่ากับ 15%

ถ้าพิจารณาจาก IRR เพียงอย่างเดียว โครงการ A ดูเหมือนจะคุ้มค่ากว่าโครงการ B

แต่ถ้าพิจารณาถึงความเสี่ยงของการลงทุนด้วย พบว่าโครงการ A มีความเสี่ยงสูงกว่าโครงการ B มาก ในกรณีนี้ การลงทุนในโครงการ B อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

สรุปได้ว่า IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาข้อควรระวังในการใช้ IRR ควบคู่ไปด้วย เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพsharemore_vert

ข้อควรระวังในการใช้ IRR

IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาข้อควรระวังในการใช้ IRR ควบคู่ไปด้วย เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้

  • IRR ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด

IRR คำนวณจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน ดังนั้น IRR จึงขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม

อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมควรเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนถึงต้นทุนของเงินทุนที่ใช้ในการลงทุน เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร หรืออัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ

  • IRR ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน

IRR ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน ดังนั้นจึงควรพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนควบคู่ไปด้วย

ความเสี่ยงของการลงทุน คือ ความเป็นไปได้ที่การลงทุนจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมักให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ

หากพิจารณาจาก IRR เพียงอย่างเดียว อาจตัดสินใจเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

  • IRR อาจมีค่าหลายค่า

ในบางกรณี การลงทุนอาจมีกระแสเงินสดที่เป็นบวกและลบอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น การลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ในกรณีนี้ IRR อาจมีค่าหลายค่า

หาก IRR มีหลายค่า จะต้องพิจารณาค่า IRR ที่สูงที่สุดและค่า IRR ที่ต่ำที่สุด โดยค่า IRR ที่สูงที่สุดอาจไม่สะท้อนถึงความเป็นจริง เนื่องจากเป็นค่าที่หาได้ยากมาก

  • IRR อาจไม่เหมาะสมกับการลงทุนบางประเภท

IRR เหมาะสมกับการลงทุนที่มีกระแสเงินสดที่คาดหวังได้ค่อนข้างแน่นอน เช่น การลงทุนในเครื่องจักรหรืออุปกรณ์

สำหรับการลงทุนที่มีกระแสเงินสดที่คาดหวังได้ยาก เช่น การลงทุนในธุรกิจใหม่หรือการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน อาจใช้เครื่องมืออื่น ๆ ในการช่วยตัดสินใจลงทุน เช่น มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) หรืออัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Return on Risk)

สรุป

IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาข้อควรระวังในการใช้ IRR ควบคู่ไปด้วย เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

สรุป

IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน โดยสามารถใช้เปรียบเทียบการลงทุนหลายโครงการด้วยกัน เพื่อเลือกโครงการที่คุ้มค่าที่สุด อย่างไรก็ตาม IRR รู้ไว้ก่อนลงทุนจะได้ไม่พลาด ควรพิจารณาข้อควรระวังในการใช้ IRR ควบคู่ไปด้วย เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

วิธีใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน เลือกลงทุนอย่างไรให้คุ้มค่า

ในการตัดสินใจลงทุน การประเมินความคุ้มค่าของโครงการเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ต้นทุนการลงทุน กระแสเงินสดรับสุทธิ และระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการคือ อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR)

IRR คือ อัตราส่วนลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการมีค่าเท่ากับต้นทุนการลงทุน พูดง่ายๆ คือ อัตราผลตอบแทนที่โครงการจะสร้างให้ได้ตามต้นทุนการลงทุน ในกรณีที่ IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุน แสดงว่าโครงการนั้นคุ้มค่าที่จะลงทุน

วิธีการคำนวณ IRR

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้วิธีลองผิดลองถูก (Trial and Error) โดยสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า แล้วคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการ หากค่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิมีค่าเท่ากับต้นทุนการลงทุน แสดงว่าค่า IRR นั้นคือค่าที่ถูกต้อง

อีกวิธีหนึ่งในการหา IRR คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณ ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากมายที่สามารถคำนวณ IRR ได้

ตัวอย่างการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

สมมติว่าบริษัทแห่งหนึ่งมีโครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในปีแรก 3 ล้านบาท ปีที่สอง 4 ล้านบาท และปีที่สาม 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่ 10%

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถคำนวณ IRR ของโครงการได้ดังนี้

IRR = ?

NPV = -10 + 3/(1+0.1)^1 + 4/(1+0.1)^2 + 5/(1+0.1)^3

เมื่อคำนวณค่า NPV จะได้ค่าเท่ากับ 1.26

เนื่องจากค่า NPV มีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่า IRR ของโครงการจะสูงกว่า 10%

หากเราลองสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า พบว่าค่า IRR ที่ใกล้เคียงกับ NPV มากที่สุดคือ 12%

ดังนั้น สรุปได้ว่า โครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของ บริษัทแห่งนี้คุ้มค่าที่จะลงทุน เนื่องจาก IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนที่ 10%

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

ข้อดีของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนคือ

  • เข้าใจง่าย สามารถใช้เปรียบเทียบโครงการลงทุนต่างๆ ได้ง่าย

IRR เป็นอัตราผลตอบแทนที่แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจได้ง่าย และสามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนต่างๆ ได้ง่าย โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าย่อมคุ้มค่ากว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า

  • ครอบคลุมถึงระยะเวลาคืนทุนของโครงการ

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดรับสุทธิทั้งหมดของโครงการ ซึ่งรวมถึงกระแสเงินสดรับสุทธิที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย ทำให้ IRR ครอบคลุมถึงระยะเวลาคืนทุนของโครงการด้วย โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าย่อมมีระยะเวลาคืนทุนที่สั้นกว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า

ข้อดีของการใช้ IRR เหล่านี้ ทำให้ IRR เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม IRR ก็มีข้อเสียที่ต้องพิจารณาเช่นกัน

ข้อเสียของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนคือ

  • ขึ้นอยู่กับสมมติฐานของกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคต

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคต ซึ่งขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่างๆ เช่น ปริมาณการขาย ราคาสินค้าหรือบริการ เป็นต้น หากสมมติฐานเหล่านี้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง จะทำให้ IRR ที่คำนวณได้คลาดเคลื่อนได้

  • ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันได้

IRR ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันได้ เนื่องจาก IRR ขึ้นอยู่กับระยะเวลาคืนทุนด้วย ดังนั้น โครงการที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันอาจให้ IRR ต่างกันได้ แม้ว่าโครงการทั้งสองจะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากัน

ดังนั้น ผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของการใช้ IRR ประกอบกันก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงการใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด

การประยุกต์ใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

IRR สามารถใช้ประยุกต์ใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนในหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น เครื่องจักร อาคาร โรงงาน

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น การลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ การลงทุนสร้างโรงงานใหม่ เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในธุรกิจใหม่

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น การลงทุนเปิดร้านใหม่ การลงทุนซื้อแฟรนไชส์ เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในโครงการก่อสร้าง

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในโครงการก่อสร้าง เช่น การลงทุนสร้างถนน การลงทุนสร้างเขื่อน เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในหลักทรัพย์

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น การลงทุนซื้อหุ้น การลงทุนซื้อกองทุนรวม เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

  • บริษัทแห่งหนึ่งมีโครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในปีแรก 3 ล้านบาท ปีที่สอง 4 ล้านบาท และปีที่สาม 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่ 10%

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถคำนวณ IRR ของโครงการได้ดังนี้

IRR = ?

NPV = -10 + 3/(1+0.1)^1 + 4/(1+0.1)^2 + 5/(1+0.1)^3

เมื่อคำนวณค่า NPV จะได้ค่าเท่ากับ 1.26

เนื่องจากค่า NPV มีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่า IRR ของโครงการจะสูงกว่า 10%

หากเราลองสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า พบว่าค่า IRR ที่ใกล้เคียงกับ NPV มากที่สุดคือ 12%

ดังนั้น สรุปได้ว่า โครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของ บริษัทแห่งนี้คุ้มค่าที่จะลงทุน เนื่องจาก IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนที่ 10%

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

ผู้ลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงการใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด

ตัวอย่างการคำนวณ IRR เข้าใจง่าย

IRR (Internal Rate of Return) คือ อัตราผลตอบแทนภายในของการลงทุน เป็นการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนโดยคำนึงถึงทั้งระยะเวลาและมูลค่าของเงิน มักใช้เปรียบเทียบการลงทุนหลาย ๆ โครงการเพื่อหาโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้วิธีลองผิดลองถูก (Trial and Error) โดยสมมติค่าอัตราคิดลด (discount rate) ขึ้นมา 1 ค่า แล้วแทนค่านั้นในสูตร NPV (Net Present Value) หากค่า NPV เท่ากับ 0 ก็จะได้ว่าค่าอัตราคิดลดนั้นคือค่า IRR ของโครงการนั้น

ตัวอย่างการคำนวณ IRR เข้าใจง่าย

สมมติว่า คุณมีโครงการลงทุนโดยลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาท จะได้รับเงินคืนปีละ 20,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี ถามว่าโครงการนี้ให้ผลตอบแทน IRR เท่าไร

สูตร NPV มีดังนี้

NPV = ∑(CFt / (1+r)^t)

โดยที่

  • CFt คือ กระแสเงินสดที่จะได้รับในปีที่ t
  • r คือ อัตราคิดลด

แทนค่าข้อมูลในสูตร NPV จะได้ดังนี้

NPV = ∑(20,000 / (1+r)^t)

สมมติว่า ทดลองค่า r = 10% จะได้ NPV = 10,618.61

สมมติว่า ทดลองค่า r = 15% จะได้ NPV = 28.25

เนื่องจาก NPV ของค่า r = 10% มีค่ามากกว่า 0 แต่ NPV ของค่า r = 15% มีค่าน้อยกว่า 0 ดังนั้น ค่า IRR ของโครงการนี้จึงอยู่ระหว่าง 10% และ 15%

หากลองทดลองค่า r เพิ่มขึ้นทีละ 0.5% จะพบว่าค่า NPV มีค่าเท่ากันเมื่อ r = 12.5% ดังนั้น ค่า IRR ของโครงการนี้จึงเท่ากับ 12.5%

ในตัวอย่างการคำนวณ IRR ข้างต้น สมมติว่าเรามีโครงการลงทุนโดยลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาท จะได้รับเงินคืนปีละ 20,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี ถามว่าโครงการนี้ให้ผลตอบแทน IRR เท่าไร

หากทดลองค่า r = 10% จะได้ NPV = 10,618.61

หากทดลองค่า r = 15% จะได้ NPV = 28.25

เนื่องจาก NPV ของค่า r = 10% มีค่ามากกว่า 0 แต่ NPV ของค่า r = 15% มีค่าน้อยกว่า 0 ดังนั้น ค่า IRR ของโครงการนี้จึงอยู่ระหว่าง 10% และ 15%

หากลองทดลองค่า r เพิ่มขึ้นทีละ 0.5% จะพบว่าค่า NPV มีค่าเท่ากันเมื่อ r = 12.5% ดังนั้น ค่า IRR ของโครงการนี้จึงเท่ากับ 12.5%

ขั้นตอนการคำนวณ IRR ด้วยวิธีลองผิดลองถูก มีดังนี้

  1. ตั้งสมมติฐานค่าอัตราคิดลด (r) ขึ้นมา 1 ค่า
  2. แทนค่า r ลงในสูตร NPV
  3. คำนวณหาค่า NPV
  4. หากค่า NPV เท่ากับ 0 แสดงว่าค่า r ที่สมมติไว้คือค่า IRR ของโครงการ
  5. หากค่า NPV มีค่ามากกว่า 0 แสดงว่าค่า IRR ของโครงการอยู่ในช่วงต่ำกว่าค่า r ที่สมมติไว้
  6. หากค่า NPV มีค่าน้อยกว่า 0 แสดงว่าค่า IRR ของโครงการอยู่ในช่วงสูงกว่าค่า r ที่สมมติไว้
  7. วนซ้ำขั้นตอนที่ 2-6 จนกว่าจะได้ค่า IRR ที่ถูกต้อง

ในตัวอย่างข้างต้น เราได้ทดลองค่า r เพิ่มขึ้นทีละ 0.5% จนกว่าค่า NPV จะเท่ากับ 0 ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากโครงการมีจำนวนกระแสเงินสดจำนวนมาก การคำนวณอาจใช้เวลานานขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีวิธีการคำนวณ IRR อื่น ๆ อีก เช่น การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์คำนวณ หรือการใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตาม วิธีลองผิดลองถูกเป็นวิธีที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ข้อดีของการใช้ IRR

IRR เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุน โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนของการลงทุน ซึ่งสามารถคำนวณได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้วิธีลองผิดลองถูก ซึ่งสามารถเข้าใจได้ง่ายและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ข้อดีของการใช้ IRR ที่สำคัญ ได้แก่

  • เป็นวิธีการคำนวณที่เข้าใจง่าย

IRR เป็นเครื่องมือที่เข้าใจได้ง่าย เนื่องจากใช้อัตราผลตอบแทนเป็นตัววัดผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งทุกคนสามารถเข้าใจได้ โดยค่า IRR ที่สูงกว่าแสดงว่าโครงการนั้นมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า

  • สามารถใช้เปรียบเทียบการลงทุนหลาย ๆ โครงการได้

IRR สามารถใช้เปรียบเทียบการลงทุนหลาย ๆ โครงการได้ โดยเลือกโครงการที่มีค่า IRR สูงที่สุด ซึ่งหมายความว่าโครงการนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

ข้อเสียของการใช้ IRR

IRR เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อเสียบางประการที่ควรทราบ ได้แก่

  • การคำนวณอาจใช้เวลานานหากมีจำนวนกระแสเงินสดจำนวนมาก

IRR เป็นเครื่องมือที่คำนวณโดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ ซึ่งอาจใช้เวลานานในการหาค่า IRR โดยเฉพาะหากโครงการมีจำนวนกระแสเงินสดจำนวนมาก

  • อาจมีการคำนวณผิดพลาดหากใช้ค่าอัตราคิดลดที่ไม่เหมาะสม

ค่าอัตราคิดลดที่ใช้ในการคำนวณ IRR มีความสำคัญมาก หากใช้ค่าอัตราคิดลดที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้การคำนวณ IRR ผิดพลาดได้

  • IRR อาจให้ผลตอบแทนที่สูงเกินจริงหากกระแสเงินสดเข้ามาในช่วงท้ายของโครงการ

IRR คำนวณโดยใช้กระแสเงินสดทั้งหมดของโครงการ ดังนั้น หากกระแสเงินสดส่วนใหญ่เข้ามาในช่วงท้ายของโครงการ IRR อาจให้ผลตอบแทนที่สูงเกินจริง เนื่องจากกระแสเงินสดในช่วงท้ายของโครงการมีมูลค่าปัจจุบันที่ต่ำกว่ากระแสเงินสดในช่วงต้นของโครงการ

  • IRR ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการลงทุนที่มีระยะเวลาไม่เท่ากันได้

IRR เป็นการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนโดยพิจารณาจากระยะเวลาและมูลค่าของเงิน ดังนั้น การลงทุนที่มีระยะเวลาไม่เท่ากันจึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันโดยใช้ IRR ได้

  • IRR ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน

IRR เป็นเพียงเครื่องมือที่วัดผลตอบแทนจากการลงทุนเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน ดังนั้น การลงทุนที่มี IRR สูงอาจมีความเสียงสูงเช่นกัน

โดยสรุปแล้ว IRR เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น NPV (Net Present Value) เพื่อประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำ

สรุป

IRR เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุน โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนของการลงทุน ซึ่งสามารถคำนวณได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้ ตัวอย่างการคำนวณ IRR เข้าใจง่าย ซึ่งสามารถเข้าใจได้ง่ายและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

IRR เคล็ดลับลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด รู้ไว้ก่อนลงทุนจะได้ไม่พลาด

ในการลงทุน ผลตอบแทนเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต่างคาดหวังกัน แต่การจะรู้ว่าการลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการประเมินผลตอบแทน ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้กันคือ IRR หรือ Internal Rate of Return

IRR คืออะไร

IRR ย่อมาจาก Internal Rate of Return หมายถึง อัตราคิดลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ (Net Present Value: NPV) เท่ากับศูนย์ พูดง่ายๆ ก็คือ IRR คือ อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน

วิธีคำนวณ IRR

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การคำนวณด้วยตนเองด้วยสูตรคณิตศาสตร์หรือใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่น Excel หรือ Google Sheets ตัวอย่างสูตรการคำนวณ IRR ด้วยตนเองมีดังนี้

IRR = (NPV + 1) / (NPV - 1)

โดย NPV คือ มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ

ตัวอย่างการคำนวณ IRR

สมมติว่าเรามีโครงการลงทุนมูลค่า 100,000 บาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดสุทธิในปีแรก 20,000 บาท ในปีที่สอง 30,000 บาท และในปีที่สาม 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5%

การคำนวณ IRR ด้วยสูตร Excel มีดังนี้

=XIRR(C2:C4,B2:B4,100000)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 15.24% หมายความว่า การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทนที่ 15.24% ต่อปี

IRR กับการตัดสินใจลงทุน

IRR เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจลงทุน โดยหาก IRR สูงกว่าต้นทุนเงินลงทุน การลงทุนนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และควรพิจารณาลงทุน แต่ถ้า IRR ต่ำกว่าต้นทุนเงินลงทุน การลงทุนนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า และควรพิจารณาไม่ลงทุน

ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนโครงการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศมูลค่า 1 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดสุทธิในปีแรก 200,000 บาท ในปีที่สอง 300,000 บาท และในปีที่สาม 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5%

การคำนวณ IRR พบว่า IRR เท่ากับ 15% หมายความว่า การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทนที่ 15% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าต้นทุนเงินกู้ที่ 5% ดังนั้น การลงทุนนี้จึงถือว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และควรพิจารณาลงทุน

ข้อดีและข้อจำกัดของ IRR

ข้อดีของ IRR ที่ทำให้เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันคือ

  • เป็นเครื่องมือที่เข้าใจง่าย
  • สามารถนำมาเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนที่แตกต่างกันได้

ข้อจำกัดของ IRR มีดังนี้

  • ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีระยะเวลาต่างกันได้
  • ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่างกันได้

สรุป

IRR เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจลงทุน โดยหาก IRR สูงกว่าต้นทุนเงินลงทุน การลงทุนนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และควรพิจารณาลงทุน แต่ถ้า IRR ต่ำกว่าต้นทุนเงินลงทุน การลงทุนนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า และควรพิจารณาไม่ลงทุน

นอกจากการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนแล้ว นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น เพื่อให้การลงทุนนั้นมีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

IRR ในการจัดการโครงการ

ในขอบเขตของการจัดการโครงการแบบไดนามิก ตัวชี้วัดทางการเงินมีบทบาทสำคัญในการประเมินความมีชีวิตและความสำเร็จของโครงการ หนึ่งในตัวชี้วัดดังกล่าวคืออัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) บทความนี้เจาะลึกโลกของ IRR ในการจัดการโครงการ โดยเปิดเผยความสำคัญ การนำไปใช้ และผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริง

บทบาทของตัวชี้วัดทางการเงินในการจัดการโครงการ

IRR มีบทบาทสำคัญในการจัดการโครงการ เนื่องจากสามารถใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เช่น

  • การตัดสินใจลงทุน IRR สามารถช่วยในการเปรียบเทียบโครงการการลงทุนที่มีกระแสเงินสดสุทธิต่างกัน โครงการที่มี IRR สูงกว่าจึงสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า ดังนั้นจึงควรลงทุนในโครงการที่มี IRR สูงกว่า
  • การตัดสินใจเลือกโครงการ IRR สามารถช่วยในการเลือกโครงการจากตัวเลือกที่มีให้ โครงการที่มี IRR สูงกว่าจึงควรได้รับการเลือก
  • การตัดสินใจจัดลำดับความสำคัญของโครงการ IRR สามารถช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ เพื่อให้โครงการที่มี IRR สูงกว่าได้รับการดำเนินการก่อน

ข้อดีของการใช้ IRR ในการจัดการโครงการ

  • สามารถเปรียบเทียบโครงการที่มีกระแสเงินสดสุทธิต่างกันได้ IRR บอกถึงอัตราผลตอบแทนที่โครงการการลงทุนจะสร้างได้ โครงการที่มี IRR สูงกว่าจึงสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า ดังนั้น IRR จึงสามารถใช้เปรียบเทียบโครงการการลงทุนที่มีกระแสเงินสดสุทธิต่างกันได้
  • เข้าใจง่าย IRR เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับศูนย์ ดังนั้นจึงเข้าใจง่ายกว่าเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เช่น NPV
  • สามารถคำนวณได้หลายวิธี การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้กระบวนการค้นหาซ้ำ (Trial and Error) หรือใช้ฟังก์ชัน IRR ใน Excel

IRR เทียบกับตัวชี้วัดการจัดการโครงการอื่น ๆ

นอกจาก IRR แล้ว ยังมีตัวชี้วัดการจัดการโครงการอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนได้ แต่ละตัวชี้วัดมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป

ตัวชี้วัดการจัดการโครงการอื่น ๆ ที่มักใช้ควบคู่กับ IRR ได้แก่

  • มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV)

NPV บอกถึงมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิของโครงการการลงทุน โครงการที่มี NPV มีค่าเป็นบวกแสดงว่าสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าต้นทุนที่ลงทุนไป

ข้อดีของ NPV คือ สะท้อนถึงมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิทั้งหมดของโครงการ โดยไม่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของโครงการ

ข้อเสียของ NPV คือ ขึ้นอยู่กับอัตราคิดลดที่ใช้ หากใช้อัตราคิดลดที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ NPV มีค่าผิดเพี้ยนได้

  • ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period)

ระยะเวลาคืนทุนบอกถึงระยะเวลาที่ใช้ในการคืนทุนของโครงการ โครงการที่มีระยะเวลาคืนทุนสั้นแสดงว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้เร็วกว่าโครงการที่มีระยะเวลาคืนทุนยาว

ข้อดีของระยะเวลาคืนทุนคือ เข้าใจง่ายและสามารถเปรียบเทียบโครงการที่มีระยะเวลาต่างกันได้

ข้อเสียของระยะเวลาคืนทุน คือ ไม่สะท้อนถึงมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิของโครงการ

  • อัตราผลตอบแทนต่ออายุ (Return on Investment Period)

อัตราผลตอบแทนต่ออายุบอกถึงอัตราผลตอบแทนที่โครงการการลงทุนจะสร้างได้ต่อระยะเวลาหนึ่ง โครงการที่มีอัตราผลตอบแทนต่ออายุสูงกว่าแสดงว่าสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าโครงการที่มีอัตราผลตอบแทนต่ออายุต่ำกว่า

ข้อดีของอัตราผลตอบแทนต่ออายุคือ เข้าใจง่ายและสามารถเปรียบเทียบโครงการที่มีระยะเวลาต่างกันได้

ข้อเสียของอัตราผลตอบแทนต่ออายุ คือ ไม่สะท้อนถึงมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิของโครงการ

การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสม

การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ลักษณะของโครงการ ระยะเวลาของโครงการ และความเสี่ยงของโครงการ

หากโครงการมีกระแสเงินสดสุทธิสม่ำเสมอและระยะเวลายาวนาน สามารถใช้ IRR เป็นตัวชี้วัดหลักได้

หากโครงการมีกระแสเงินสดสุทธิไม่สม่ำเสมอหรือระยะเวลาสั้น สามารถใช้ NPV หรือระยะเวลาคืนทุนเป็นตัวชี้วัดหลักได้

หากต้องการเปรียบเทียบโครงการที่มีระยะเวลาต่างกัน ควรใช้อัตราผลตอบแทนต่ออายุเป็นตัวชี้วัด

ข้อจำกัดของการใช้ IRR ในการบริหารโครงการ

IRR มีข้อจำกัดบางประการที่นักลงทุนควรทราบ ดังนี้

  • IRR อาจให้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกันได้ หากโครงการการลงทุนมีกระแสเงินสดเข้าและออกที่ไม่สม่ำเสมอ อาจเกิดกรณีที่ IRR และ NPV ขัดแย้งกันได้ ตัวอย่างเช่น หากโครงการการลงทุนมีกระแสเงินสดออกในช่วงแรก และกระแสเงินสดเข้าในช่วงหลัง หากใช้อัตราคิดลดที่สูง จะทำให้ NPV มีค่าเป็นลบ แต่หากใช้อัตราคิดลดที่ต่ำ จะทำให้ IRR มีค่าเป็นบวก
  • IRR อาจไม่สะท้อนถึงความเสี่ยงของโครงการ IRR เป็นเพียงอัตราผลตอบแทนที่ส่งผลให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิเท่ากับศูนย์เท่านั้น ไม่ได้สะท้อนถึงความเสี่ยงของโครงการ เช่น ความเสี่ยงด้านความผันผวนของกระแสเงินสด ความเสี่ยงด้านคู่แข่ง ความเสี่ยงด้านกฎหมาย เป็นต้น
  • IRR ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการที่มีระยะเวลาต่างกันได้ หากโครงการมีระยะเวลาต่างกัน IRR อาจไม่สามารถเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน ต้องใช้วิธีอื่น เช่น ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) หรืออัตราผลตอบแทนต่ออายุ (Return on Investment Period) ในการเปรียบเทียบ

กลยุทธ์ในการเพิ่ม IRR สูงสุดในโครงการ

การเพิ่ม IRR สูงสุดในโครงการสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

  • เพิ่มกระแสเงินสดเข้า (Cash Inflow)

การเพิ่มกระแสเงินสดเข้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่ม IRR ของโครงการ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น เพิ่มยอดขาย เพิ่มราคาขาย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือลดต้นทุน

  • ลดต้นทุน (Cost Reduction)

การลดต้นทุนก็มีส่วนช่วยเพิ่ม IRR ของโครงการได้เช่นกัน สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ลดต้นทุนวัตถุดิบ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

  • ยืดระยะเวลาโครงการ (Project Duration)

การยืดระยะเวลาโครงการอาจช่วยเพิ่ม IRR ได้บ้างหากกระแสเงินสดเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงและความคุ้มค่าด้วย

  • ลดอัตราคิดลด (Discount Rate)

การลดอัตราคิดลดอาจช่วยเพิ่ม IRR ได้บ้าง แต่ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงของโครงการด้วย หากอัตราคิดลดต่ำเกินไป อาจทำให้ NPV มีค่าเป็นบวกแม้โครงการจะมีกระแสเงินสดเข้าเพียงเล็กน้อย

กลยุทธ์เฉพาะโครงการ

นอกจากกลยุทธ์ทั่วไปที่กล่าวมาแล้ว ยังมีกลยุทธ์เฉพาะโครงการที่อาจช่วยเพิ่ม IRR ได้ เช่น

  • **สำหรับโครงการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Capital Expenditure) สามารถใช้กลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ เช่น การเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของสินทรัพย์ หรือการเพิ่มอายุการใช้งานของสินทรัพย์
  • **สำหรับโครงการลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) สามารถใช้กลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มเติม หรือการเพิ่มการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
  • **สำหรับโครงการลงทุนในธุรกิจใหม่ สามารถใช้กลยุทธ์ในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด เช่น การขยายตลาดใหม่หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

ข้อควรระวัง

ในการเพิ่ม IRR ของโครงการ ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงด้วย หากเพิ่ม IRR โดยเพิ่มความเสี่ยงมากเกินไป อาจทำให้โครงการไม่คุ้มค่า

นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังจากโครงการด้วย หากโครงการมีกระแสเงินสดเข้าเพียงเล็กน้อย การพยายามเพิ่ม IRR อาจไม่คุ้มค่า

โดยสรุป IRR เป็นเครื่องมือที่หลากหลายและทรงคุณค่าในขอบเขตของการจัดการโครงการ ความสามารถในการประเมินความสามารถในการทำกำไรของโครงการ เป็นแนวทางในการตัดสินใจ และจัดการความเสี่ยง ทำให้เป็นตัวชี้วัดที่ผู้จัดการโครงการต้องรู้ ด้วยการควบคุมพลังของ IRR ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงการสามารถขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จและส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย