คลังเก็บป้ายกำกับ: ที่มาของการวิจัย

ที่มาของการวิจัย: ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนา

การวิจัยเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ใหม่หรือความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบระเบียบ การวิจัยมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของโลก บทความนี้ เราจะสำรวจ ที่มาของการวิจัย: ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนา

1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนา

ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1.1 ปัจจัยภายใน

ปัจจัยภายใน ได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้วิจัยเอง เช่น ความรู้ ทักษะ ความสามารถ ความมุ่งมั่น และทัศนคติต่องานวิจัย ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการตั้งสมมติฐานและออกแบบการวิจัย ตลอดจนความสามารถในการวิเคราะห์และตีความผลการวิจัย

ความรู้ ความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการวิจัย ผู้วิจัยควรมีความรู้พื้นฐานในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถตั้งสมมติฐานและออกแบบการวิจัยได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการวิจัยต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทักษะ ทักษะเป็นสิ่งสำคัญในการวิจัย ผู้วิจัยควรมีทักษะในการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสื่อสารผลการวิจัย ทักษะเหล่านี้สามารถพัฒนาได้จากการอบรมสัมมนาหรือการฝึกปฏิบัติ

ความสามารถ ความสามารถเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการวิจัย ผู้วิจัยควรมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรมีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นเป็นสิ่งสำคัญในการวิจัย ผู้วิจัยควรมีความมุ่งมั่นที่จะทำวิจัยให้เกิดผลสำเร็จ แม้จะเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ

ทัศนคติต่องานวิจัย ทัศนคติต่องานวิจัยเป็นสิ่งสำคัญ ผู้วิจัยควรมีทัศนคติที่ดีต่องานวิจัย โดยมองว่างานวิจัยเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ใหม่เพื่อพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ

ปัจจัยภายในเหล่านี้สามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านงานวิจัยในสถาบันการศึกษา การจัดอบรมสัมมนาด้านการวิจัยให้กับบุคลากร และการสนับสนุนให้มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิจัย

ตัวอย่างการพัฒนาปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการพัฒนาของการวิจัย เช่น

  • การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านงานวิจัยในสถาบันการศึกษา จะช่วยให้ผู้วิจัยมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การจัดอบรมสัมมนาด้านการวิจัยให้กับบุคลากร จะช่วยให้บุคลากรมีความรู้และทักษะด้านงานวิจัยที่จำเป็นในการทำงาน
  • การส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิจัย จะช่วยให้นักวิจัยได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นและนำไปพัฒนางานวิจัยของตนเอง

การพัฒนาปัจจัยภายในอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนางานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อการพัฒนาของการวิจัย

1.2 ปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปัจจัยที่นอกเหนือการควบคุมของผู้วิจัย เช่น นโยบายของรัฐบาล การสนับสนุนจากภาคเอกชน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล ทรัพยากร และการสนับสนุนในการดำเนินการวิจัย

นโยบายของรัฐบาล นโยบายของรัฐบาลมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมหรือจำกัดการพัฒนาของการวิจัย รัฐบาลสามารถส่งเสริมการพัฒนาของการวิจัยได้ เช่น โดยการออกกฎหมายสนับสนุนการวิจัย การจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัย และการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการทำวิจัย

การสนับสนุนจากภาคเอกชน ภาคเอกชนเป็นแหล่งทุนที่สำคัญสำหรับการวิจัย ภาคเอกชนสามารถสนับสนุนการพัฒนาของการวิจัยได้ เช่น โดยการร่วมทุนกับสถาบันวิจัย การจัดตั้งศูนย์วิจัย หรือการให้ทุนสนับสนุนการวิจัย

เทคโนโลยี เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาของการวิจัย เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัยช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้ เทคโนโลยีใหม่ๆ ยังช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาวิธีการวิจัยใหม่ๆ และค้นพบความรู้ใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น

การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้เกิดความต้องการความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อม ล้วนมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการวิจัยใหม่ๆ

ตัวอย่างการพัฒนาปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการพัฒนาของการวิจัย เช่น

  • การสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยจากภาครัฐและเอกชน จะช่วยให้นักวิจัยมีทรัพยากรที่จำเป็นในการดำเนินการวิจัย
  • การส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการวิจัย จะช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ
  • การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เอื้อต่อการทำวิจัย จะช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
  • การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ทำให้เกิดความต้องการความรู้ใหม่ๆ จะช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนางานวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม

การพัฒนาปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงทรัพยากรและการสนับสนุนที่จำเป็นในการดำเนินการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อการพัฒนาของการวิจัย

การวิจัยมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยใหม่ๆ และพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สังคมและเศรษฐกิจของโลกมีความเจริญก้าวหน้า

2. พัฒนาการของการวิจัย

แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • พัฒนาการด้านวิธีการวิจัย
  • พัฒนาการด้านสาขาวิชาวิจัย

2.1 พัฒนาการด้านวิธีการวิจัย

พัฒนาการด้านวิธีการวิจัย หมายถึง การพัฒนาวิธีการในการแสวงหาความรู้ใหม่ โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบระเบียบ วิธีการวิจัยมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของการวิจัยที่หลากหลายมากขึ้น

  • พัฒนาการด้านวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ

วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ เป็นวิธีการวิจัยที่ใช้ตัวเลขและสถิติในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ผลการศึกษา วิธีการวิจัยเชิงปริมาณมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การวัดและอธิบายตัวแปรต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้

ตัวอย่างพัฒนาการด้านวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ เช่น

  • การพัฒนาเทคนิคการสำรวจ เช่น การใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน การใช้แบบสอบถามออนไลน์ และการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
  • การพัฒนาเทคนิคการทดลอง เช่น การใช้การทดลองแบบจำลอง การใช้การทดลองแบบควบคุมหลายกลุ่ม และการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติขั้นสูง
  • พัฒนาการด้านวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ

วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นวิธีการวิจัยที่ใช้คำอธิบายและการวิเคราะห์เชิงลึกในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ผลการศึกษา วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจความหมายและบริบทของข้อมูล

ตัวอย่างพัฒนาการด้านวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น

  • การพัฒนาเทคนิคการสัมภาษณ์ เช่น การใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง การใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบไม่มีโครงสร้าง และการใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
  • การพัฒนาเทคนิคการสังเกต เช่น การใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การใช้การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา
  • พัฒนาการด้านวิธีการวิจัยผสมผสาน

วิธีการวิจัยผสมผสาน เป็นวิธีการวิจัยที่นำวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมาผสมผสานกัน วิธีการวิจัยผสมผสานมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากข้อดีของทั้งสองวิธีการวิจัย

ตัวอย่างพัฒนาการด้านวิธีการวิจัยผสมผสาน เช่น

  • การใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ และการใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ
  • การใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และการใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ

พัฒนาการด้านวิธีการวิจัยมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาของการวิจัย วิธีการวิจัยที่หลากหลายช่วยให้นักวิจัยสามารถเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับปัญหาการวิจัยและบริบทของการศึกษาวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.2 พัฒนาการด้านสาขาวิชาวิจัย

พัฒนาการด้านสาขาวิชาวิจัย หมายถึง การพัฒนาขอบเขตของการศึกษาวิจัยที่ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ในด้านต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ พัฒนาการด้านสาขาวิชาวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในประเด็นต่างๆ ของสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

  • พัฒนาการด้านสาขาวิชาวิจัยใหม่ๆ

การพัฒนาสาขาวิชาวิจัยใหม่ๆ เกิดขึ้นจากความสนใจในประเด็นใหม่ๆ ของสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาสาขาวิชาวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ และวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างสาขาวิชาวิจัยใหม่ๆ เช่น

  • เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เป็นสาขาวิชาที่ประยุกต์ใช้ความรู้ทางชีววิทยาและเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เช่น ยารักษาโรค อาหารเสริม พลังงานชีวภาพ และวัสดุชีวภาพ
  • ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เป็นสาขาวิชาที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถคิดและตัดสินใจได้เหมือนมนุษย์ เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ ระบบหุ่นยนต์ และระบบการเรียนรู้ของเครื่อง
  • สิ่งแวดล้อม (Environment) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • การขยายขอบเขตของสาขาวิชาวิจัยที่มีอยู่เดิม

นอกจากการพัฒนาสาขาวิชาวิจัยใหม่ๆ แล้ว ยังมีแนวโน้มของการขยายขอบเขตของสาขาวิชาวิจัยที่มีอยู่เดิม เช่น การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ขยายขอบเขตไปสู่การวิจัยด้านชีวการแพทย์

ตัวอย่างการขยายขอบเขตของสาขาวิชาวิจัยที่มีอยู่เดิม เช่น

  • การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Medical Science) เป็นการวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพและโรคของมนุษย์ โดยมุ่งเน้นไปที่การศึกษาสาเหตุ การรักษา และการป้องกันโรค
  • ชีวการแพทย์ (Biomedicine) เป็นสาขาวิชาที่ประยุกต์ใช้ความรู้ทางชีววิทยาและวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อพัฒนาการรักษาและป้องกันโรค เช่น การใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง และการใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมเพื่อพัฒนาวัคซีน

พัฒนาการด้านสาขาวิชาวิจัยมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาของการวิจัย การพัฒนาสาขาวิชาวิจัยใหม่ๆ และขยายขอบเขตของสาขาวิชาวิจัยที่มีอยู่เดิม ช่วยให้นักวิจัยสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเพิ่มเติมของพัฒนาการด้านสาขาวิชาวิจัย ได้แก่

  • การวิจัยด้านธุรกิจและการจัดการที่ขยายขอบเขตไปสู่การวิจัยด้านการจัดการนวัตกรรม และการจัดการความรู้
  • การวิจัยด้านการศึกษาที่ขยายขอบเขตไปสู่การวิจัยด้านการศึกษาออนไลน์ และการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • การวิจัยด้านสังคมศาสตร์ที่ขยายขอบเขตไปสู่การวิจัยด้านสังคมวิทยาดิจิทัล และสังคมวิทยาสิ่งแวดล้อม

จะเห็นได้ว่าพัฒนาการด้านสาขาวิชาวิจัยมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยในการแสวงหาความรู้ใหม่และตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจ

การวิจัยเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของโลก การสำรวจ ที่มาของการวิจัย: ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนา ส่งผลต่อการพัฒนาของการวิจัยอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้การวิจัยสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเริ่มต้นและความสำคัญในการวิจัย

การวิจัย หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ใหม่ โดยการรวบรวมข้อมูลและหลักฐานอย่างเป็นระบบ เพื่อตอบคำถามหรือแก้ปัญหาที่กำหนดไว้ จุดเริ่มต้นของการวิจัยมักเกิดจากปัญหาหรือคำถามที่ต้องการหาคำตอบ ปัญหาหรือคำถามเหล่านี้อาจเกิดจากความสนใจส่วนตัว ประสบการณ์ส่วนตัว หรือจากสถานการณ์รอบตัว

เมื่อพบปัญหาหรือคำถามที่ต้องการหาคำตอบ นักวิจัยจะต้องกำหนดขอบเขตของการวิจัยให้ชัดเจน โดยกำหนดหัวข้อ วัตถุประสงค์ และสมมติฐานการวิจัย จากนั้นจึงดำเนินการรวบรวมข้อมูลและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยอาจใช้วิธีการสังเกต สัมภาษณ์ ทดลอง หรือสำรวจ การวิเคราะห์ข้อมูลและหลักฐานจะช่วยให้นักวิจัยได้คำตอบสำหรับปัญหาหรือคำถามที่ตั้งไว้

การวิจัยมีบทบาทสำคัญต่อสังคม ดังนี้

  • พัฒนาความรู้และความเข้าใจ การวิจัยช่วยให้เรามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโลกรอบตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านวิทยาศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ หรือการเมือง การวิจัยช่วยไขปริศนาต่าง ๆ และทำให้เราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติและสังคม
  • แก้ปัญหาและปรับปรุงคุณภาพชีวิต การวิจัยช่วยแก้ปัญหาและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การวิจัยเพื่อพัฒนายารักษาโรค การวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตร การวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษา เป็นต้น
  • สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ การวิจัยช่วยสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เช่น การวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ การวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นต้น

ดังนั้น การวิจัยจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถพัฒนาความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน

ตัวอย่างงานวิจัยที่น่าสนใจ เช่น

  • การวิจัยเพื่อพัฒนายารักษาโรคโควิด-19
  • การวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกพืชไร้ดิน
  • การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาแบบดิจิทัล

งานวิจัยเหล่านี้ล้วนมีจุดเริ่มต้นจากปัญหาหรือคำถามที่ต้องการหาคำตอบ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ

การตีความที่มาและความสำคัญของการวิจัย

การตีความที่มาและความสำคัญของการวิจัยเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวิจัย เพราะจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถอธิบายได้ว่าผลการวิจัยมีที่มาอย่างไร เกิดจากแนวคิดหรือทฤษฎีใด และมีความสำคัญอย่างไรต่อวงวิชาการหรือสังคม โดยอาจพิจารณาจากประเด็นต่างๆ ดังนี้

ที่มาของการวิจัย

ผู้วิจัยควรอธิบายถึงที่มาของการวิจัย โดยระบุถึงแนวคิดหรือทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนาคำถามวิจัยและกรอบแนวคิดการวิจัย ตัวอย่างเช่น หากเป็นการวิจัยเพื่อทดสอบทฤษฎีใดๆ ผู้วิจัยควรอธิบายว่าทฤษฎีดังกล่าวมีแนวคิดอย่างไร และผลการวิจัยจะส่งผลต่อทฤษฎีดังกล่าวอย่างไร เป็นต้น

ความสำคัญของการวิจัย

ผู้วิจัยควรอธิบายถึงความสำคัญของการวิจัย โดยระบุถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากผลการวิจัย ตัวอย่างเช่น หากเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ผู้วิจัยควรอธิบายว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไร เป็นต้น

การตีความที่มาและความสำคัญของการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะช่วยให้งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม

ตัวอย่างการตีความที่มาและความสำคัญของการวิจัย

ตัวอย่างเช่น หากเป็นการวิจัยเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอายุและระดับการศึกษากับรายได้ของผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้วิจัยอาจอธิบายที่มาของการวิจัยดังนี้

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอายุและระดับการศึกษากับรายได้ของผู้ประกอบอาชีพอิสระ เนื่องจากพบว่าผู้ประกอบอาชีพอิสระมีรายได้ที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มอายุและระดับการศึกษา การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบอาชีพอิสระ

ส่วนการตีความความสำคัญของการวิจัยอาจอธิบายดังนี้

ผลการวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระและผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับรายได้ของผู้ประกอบอาชีพอิสระ เนื่องจากผลการวิจัยจะช่วยอธิบายถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับปรุงกลยุทธ์ในการประกอบอาชีพอิสระหรือพัฒนานโยบายส่งเสริมรายได้ของผู้ประกอบอาชีพอิสระ

นอกจากนี้ ผู้วิจัยอาจพิจารณาจากประเด็นอื่นๆ ในการตีความที่มาและความสำคัญของการวิจัย เช่น

  • ความสอดคล้องกับบริบท การวิจัยควรมีความสอดคล้องกับบริบทของสังคมหรือสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน
  • ความใหม่ การวิจัยควรมีความใหม่และสามารถนำเสนอข้อมูลใหม่ๆ แก่วงวิชาการหรือสังคม
  • ความน่าสนใจ การวิจัยควรมีความน่าสนใจและดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน

โดยสรุปแล้ว การตีความที่มาและความสำคัญของการวิจัยเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวิจัย ซึ่งจะช่วยให้งานวิจัยมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม

ประโยชน์จากที่มาและความสำคัญของการวิจัย

การวิจัยเป็นกระบวนการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ หรือการแสวงหาคำตอบของปัญหาต่าง ๆ โดยอาศัยวิธีการที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ การวิจัยมีที่มาจากการอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ที่ต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกรอบตัว การวิจัยจึงมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาความรู้และสังคมในทุกด้าน

ประโยชน์ของการวิจัย

การวิจัยมีคุณประโยชน์มากมายทั้งต่อบุคคล สังคม และประเทศชาติ ดังนี้

  • ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ การวิจัยช่วยให้มนุษย์ได้ค้นพบความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ ความรู้เหล่านี้ช่วยให้มนุษย์เข้าใจโลกรอบตัวได้ดียิ่งขึ้น
  • แก้ปัญหาต่าง ๆ การวิจัยสามารถนำไปใช้เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ปัญหาด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ หรือสังคม การนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การวิจัยเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ดีขึ้น เช่น เทคโนโลยีด้านการแพทย์ เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และเทคโนโลยีด้านการผลิต
  • พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การวิจัยช่วยให้ประเทศชาติมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน การนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ช่วยให้ประเทศชาติมีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้

ความสำคัญของการวิจัย

การวิจัยมีความสำคัญต่อสังคมและเศรษฐกิจในทุกด้าน การวิจัยช่วยให้ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้า ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสังคมมีความสงบสุข การส่งเสริมให้เกิดการวิจัยอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน

แนวทางการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

  • สนับสนุนทุนวิจัย ภาครัฐและภาคเอกชนควรสนับสนุนทุนวิจัยให้กับนักวิจัย เพื่อช่วยให้สามารถดำเนินงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาบุคลากรด้านวิจัย ภาครัฐและภาคเอกชนควรส่งเสริมการศึกษาและฝึกอบรมบุคลากรด้านวิจัย เพื่อให้มีความรู้และทักษะในการวิจัย
  • เผยแพร่ผลงานวิจัย ภาครัฐและภาคเอกชนควรเผยแพร่ผลงานวิจัยให้เป็นที่รู้จัก เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง

การวิจัยเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ การส่งเสริมให้เกิดการวิจัยอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อให้ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การเขียนความเป็นมาจากปัญหาการวิจัย

ในการวิจัยทุกการศึกษาเริ่มต้นด้วยขั้นตอนสำคัญ นั่นคือ การระบุ กำหนดนิยาม และทำความเข้าใจปัญหาการวิจัย รากฐานที่สำคัญนี้กำหนดแนวทางในการวิจัยทั้งหมด โดยการรวบรวม การวิเคราะห์ และการตีความข้อมูล

เราจะพาไปเจาะลึกถึงความแตกต่างของการเขียนภูมิหลังและเน้นความสำคัญของปัญหาการวิจัย

ปัญหาการวิจัยคืออะไร?

ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการวิจัยใดๆ จำเป็นต้องระบุและระบุปัญหาการวิจัยก่อน นี่เป็นคำถามหรือประเด็นหลักที่การศึกษาวิจัยมุ่งเป้าไปที่เป็นแกนหลักของการวิจัย ซึ่งจะชี้แนะขั้นตอนต่อๆ ไปทั้งหมด

ความสำคัญของปัญหาการวิจัย

ปัญหาการวิจัยไม่ได้เป็นเพียงแบบแผนเท่านั้น ยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยจะกำหนดความเกี่ยวข้องของการศึกษาของคุณและกำหนดขั้นตอนสำหรับผลกระทบที่งานวิจัยของคุณอาจมีต่อชุมชนวิชาการหรือโลกแห่งความเป็นจริง

บทบาทของข้อมูลความเป็นมา เกี่ยวข้องกับบริบทที่ศึกษา เพื่อให้เข้าใจปัญหาการวิจัยอย่างถ่องแท้ ข้อมูลพื้นฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนนี้ให้กรอบการทำงานทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎี และบริบทที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการศึกษาวิจัยนี้

อีกทั้ง การสร้างความเกี่ยวข้อง ด้วยข้อมูลความเป็นมายังทำหน้าที่สร้างความเกี่ยวข้องของปัญหาการวิจัยด้วย มันแสดงให้เห็นว่าเหตุใดปัญหาจึงคุ้มค่าที่จะตรวจสอบ และเข้ากับภูมิทัศน์ทางวิชาการหรือการปฏิบัติในวงกว้างได้อย่างไร

เหตุใดปัญหาการวิจัยจึงมีความสำคัญ

การจัดการกับช่องว่างความรู้ บทบาทหลักประการหนึ่งของปัญหาการวิจัยคือการแก้ไขช่องว่างความรู้ที่มีอยู่ การระบุสิ่งที่ยังไม่รู้หรือไม่เข้าใจ การศึกษาของคุณมีส่วนช่วยในการพัฒนาความรู้ในสาขาของคุณ

และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง ปัญหาการวิจัยมักมีผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นในด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ ความเข้าใจและการแก้ปัญหาจะมีประโยชน์ที่จับต้องได้สำหรับสังคม อุตสาหกรรม หรือการกำหนดนโยบาย

การกำหนดขอบเขต

การจำกัดโฟกัสให้แคบลง คือ การกำหนดขอบเขตของปัญหาการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญ จะช่วยป้องกันไม่ให้การศึกษาของคุณกว้างเกินไปและไม่สามารถจัดการได้ การสรุปขอบเขตอย่างชัดเจนช่วยให้คุณมีสมาธิได้

ซึ่งการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนช่วยให้แน่ใจว่าปัญหาการวิจัยของคุณยังคงมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน และไม่หลงประเด็นไปในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและผลกระทบของการศึกษาของคุณ

ทบทวนวรรณกรรม

การทบทวนวรรณกรรมอย่างละเอียดเป็นส่วนสำคัญของการเขียนภูมิหลัง ช่วยให้คุณต่อยอดงานวิจัยที่มีอยู่และวางตำแหน่งการศึกษาของคุณไว้ในวาทกรรมทางวิชาการที่กำลังดำเนินอยู่

ระบุช่องว่างในความรู้ ด้วยการทบทวนวรรณกรรม คุณสามารถระบุช่องว่างในความรู้ปัจจุบันได้ ช่องว่างเหล่านี้กลายเป็นโอกาสสำหรับการวิจัยของคุณที่จะมีส่วนสำคัญในสาขานี้

การพัฒนาสมมติฐาน

เมื่อคุณเข้าใจปัญหาการวิจัยและบริบทของปัญหาแล้ว คุณก็สามารถกำหนดสมมติฐานที่ทดสอบได้ สมมติฐานเหล่านี้ได้รับการศึกษาเกี่ยวกับการคาดเดาเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการวิจัยของคุณ

สมมติฐานควรสอดคล้องกับปัญหาการวิจัยอย่างใกล้ชิดเสมอ สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นการคาดการณ์หรือคำอธิบายที่นำเสนอซึ่งการศึกษาของคุณมีจุดมุ่งหมายเพื่อยืนยันหรือหักล้าง

ระเบียบวิธี

ส่วนวิธีการจะอธิบายวิธีที่คุณจะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จำเป็นต้องเลือกวิธีการ และออกแบบการวิจัยที่เหมาะกับลักษณะของปัญหาการวิจัยของคุณมากที่สุด

การระบุรายละเอียดวิธีการรวบรวมข้อมูลของคุณช่วยให้มั่นใจได้ถึงความโปร่งใส และความสามารถในการทำซ้ำได้ ผู้อ่านควรจะสามารถเข้าใจว่าคุณรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาการวิจัยได้อย่างไร

การวิเคราะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลคือ จุดที่ความมหัศจรรย์เกิดขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับการดึงข้อมูลเชิงลึกที่มีความหมายจากข้อมูลที่รวบรวมซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับปัญหาการวิจัย

การวิเคราะห์ควรจัดให้มีหลักฐานที่สนับสนุนหรือท้าทายสมมติฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหาและสมมติฐานการวิจัย

ผลลัพธ์และการอภิปราย

ในส่วนนี้ คุณจะตีความผลการวิจัยของคุณ ผลลัพธ์เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัยอย่างไร และผลลัพธ์เหล่านี้มีความหมายอย่างไรในบริบทที่กว้างขึ้นในสาขาของคุณ

การเชื่อมโยงการสนทนาของคุณกับปัญหาการวิจัยอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งนี้ตอกย้ำความสำคัญของปัญหาตลอดทั้งรายงานของคุณ

บทสรุป

โดยสรุป การเขียนความเป็นมาและเน้นความสำคัญของปัญหาการวิจัยมิใช่เป็นเพียงขั้นตอนเบื้องต้นในการวิจัยเท่านั้นยังเป็นรากฐานที่สำคัญอีกด้วย ปัญหาการวิจัยที่มีการอธิบายอย่างชัดเจนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภูมิหลังที่แข็งแกร่งและความสำคัญที่ชัดเจน จะเป็นการวางรากฐานสำหรับการศึกษาที่ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ต้องมีในที่มาและความสำคัญการวิจัย

ในขอบเขตแห่งการวิจัยที่ไม่หยุดนิ่ง การเริ่มออกเดินทางเพื่อค้นหาที่มาและความสำคัญของงานของคุณจำเป็นต้องมีรากฐานที่มั่นคง หากไม่มี “สิ่งที่ต้องมี” ที่สำคัญ งานวิจัยของคุณอาจประสบปัญหาในการสร้างผลกระทบที่สำคัญ ในบทความนี้ เราจะสำรวจข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่คุณควรพิจารณาก่อนที่จะเจาะลึกการวิจัย สิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจว่าเส้นทางการวิจัยของคุณเริ่มต้นบนเส้นทางที่ถูกต้องและบรรลุศักยภาพสูงสุด

สิ่งที่ต้องมีก่อนเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับที่มาและความสำคัญ: การวิจัย มีอยู่ 2 ประการ ดังนี้

  1. หัวข้อการวิจัย หัวข้อการวิจัยควรเป็นหัวข้อที่สนใจและมีความชัดเจน ครอบคลุมประเด็นที่ต้องการศึกษา โดยสามารถระบุได้ว่าต้องการศึกษาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ใคร อย่างไร
  2. ความรู้พื้นฐาน ผู้วิจัยควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหัวข้อที่ศึกษา เพื่อให้สามารถเข้าใจประเด็นต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งและสามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างถูกต้อง

นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรมีทักษะและเครื่องมือในการวิจัยที่เหมาะสมกับหัวข้อที่ศึกษา เช่น ทักษะในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะในการประมวลผลข้อมูล และทักษะในการนำเสนอผลการวิจัย

โดยรายละเอียดของแต่ละประการ มีดังนี้

1. หัวข้อการวิจัย

หัวข้อการวิจัยควรเป็นหัวข้อที่สนใจและมีความชัดเจน ครอบคลุมประเด็นที่ต้องการศึกษา โดยสามารถระบุได้ว่าต้องการศึกษาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ใคร อย่างไร เช่น ศึกษาแหล่งกำเนิดของการวิจัยในประเทศไทย ศึกษาความสำคัญของการวิจัยในชีวิตประจำวัน เป็นต้น

หัวข้อการวิจัยที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  • น่าสนใจและท้าทาย
  • เป็นไปได้และสามารถดำเนินการวิจัยได้
  • สอดคล้องกับความรู้และทักษะของผู้วิจัย
  • สอดคล้องกับระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสม

2. ความรู้พื้นฐาน

ผู้วิจัยควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหัวข้อที่ศึกษา เพื่อให้สามารถเข้าใจประเด็นต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งและสามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างถูกต้อง ความรู้พื้นฐานสามารถหาได้จากแหล่งต่างๆ เช่น ตำรา บทความ เอกสารวิชาการ เว็บไซต์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรศึกษาระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสมกับหัวข้อที่ศึกษา เพื่อให้สามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างถูกต้องและมีคุณภาพ

ทักษะและเครื่องมือในการวิจัย

ผู้วิจัยควรมีทักษะและเครื่องมือในการวิจัยที่เหมาะสมกับหัวข้อที่ศึกษา เช่น ทักษะในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะในการประมวลผลข้อมูล และทักษะในการนำเสนอผลการวิจัย

  • ทักษะในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ทักษะในการสัมภาษณ์ ทักษะในการสังเกต ทักษะในการเก็บรวบรวมเอกสาร เป็นต้น
  • ทักษะในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ ทักษะในการสถิติ ทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
  • ทักษะในการนำเสนอผลการวิจัย ได้แก่ ทักษะในการนำเสนอด้วยวาจา ทักษะในการนำเสนอด้วยเอกสาร เป็นต้น

โดยสรุป สิ่งที่ต้องมีก่อนเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดและความสำคัญ: การวิจัย มีอยู่ 2 ประการ ดังนี้ หัวข้อการวิจัยและความรู้พื้นฐาน โดยผู้วิจัยควรศึกษาและเตรียมความพร้อมให้ดี เพื่อให้สามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

เทคนิคการเขียนที่มาและความสำคัญของการวิจัย

ที่มาและความสำคัญของการวิจัย เป็นบทแรกของรายงานวิจัยที่ทำหน้าที่อธิบายถึงเหตุผลที่นักวิจัยเลือกหัวข้อวิจัยนั้นๆ และความสำคัญของการวิจัยต่อสังคมหรือวงการวิชาการ โดยควรเขียนให้กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย

เทคนิคการเขียนที่มาและความสำคัญของการวิจัย มีดังนี้

  • เริ่มต้นด้วยการอธิบายสภาพปัจจุบันของปัญหา โดยอธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ผลกระทบของปัญหาต่อสังคมหรือวงการวิชาการ และสาเหตุของปัญหา
  • จากนั้นจึงอธิบายความสำคัญของการวิจัย โดยอธิบายว่างานวิจัยนี้จะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาอย่างไร และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง
  • ในการเขียนควรใช้ภาษาที่ชัดเจน กระชับ และเข้าใจง่าย ควรใช้ข้อมูลอ้างอิงเพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงที่กล่าวถึง

ตัวอย่างการเขียนที่มาและความสำคัญของการวิจัย

หัวข้อวิจัย “ความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิภาพการผลิตกับการใช้ข้อมูลทางบัญชีในบริษัทอุตสาหกรรม”

ที่มาและความสำคัญของการวิจัย

ประสิทธิภาพการผลิตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบริษัทอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัท การใช้ข้อมูลทางบัญชีเพื่อบริหารการผลิตสามารถช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้

จากการศึกษาของ สมพงษ์ ศรีหะวงศ์ (2560) พบว่า การใช้ระบบสารสนเทศทางบัญชีที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้ข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเท่านั้น ทำให้ผลการวิจัยอาจไม่สามารถสะท้อนถึงสภาพความเป็นจริงของทุกบริษัทอุตสาหกรรม

ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิภาพการผลิตกับการใช้ข้อมูลทางบัญชีในบริษัทอุตสาหกรรม โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยนี้จะช่วยให้ผู้บริหารบริษัทอุตสาหกรรมเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิภาพการผลิตกับการใช้ข้อมูลทางบัญชี และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของบริษัท

บทสรุป

เทคนิคการเขียนที่มาและความสำคัญของการวิจัย มีดังนี้ เริ่มต้นด้วยการอธิบายสภาพปัจจุบันของปัญหา จากนั้นจึงอธิบายความสำคัญของการวิจัย ในการเขียนควรใช้ภาษาที่ชัดเจน กระชับ และเข้าใจง่าย ควรใช้ข้อมูลอ้างอิงเพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงที่กล่าวถึง

โดยสรุปแล้ว การเขียนที่มาและความสำคัญของการวิจัยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นบทแรกของรายงานวิจัยที่ทำหน้าที่อธิบายถึงเหตุผลที่นักวิจัยเลือกหัวข้อวิจัยนั้นๆ และความสำคัญของการวิจัยต่อสังคมหรือวงการวิชาการ หากนักวิจัยสามารถเขียนที่มาและความสำคัญของการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย และประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัยนั้น